นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ทบทวนหลักเกณฑ์ตามมาตรการสนับสนุนการการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 เรื่องมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น โดย ครม.มีมติให้ 1.ขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันและการเบิกจ่าย จากเดิมที่ อปท.ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 60 ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบ 60 และเบิกจ่ายตามงวดงาน, 2.ยกเว้นการกำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินสะสมของ อปท.ก่อนเป็นลำดับแรก โดยให้ อปท.สามารถขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท.ได้ โดยรัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนสมทบในวงเงินตามที่กำหนดไว้เดิม และ อปท.ต้องจ่ายเงินสะสมในจำนวนที่ไม่น้อยกว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรสมทบให้ และ 3.ขยายเวลาให้ อปท.สามารถส่งโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลตามมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท.เพิ่มเติมได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 60
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้ อปท.สามารถนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนของตนเอง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยวชุมชน เนื่องจากเวลาที่ผ่านมาพบว่า อปท.ยังมีข้อจำกัดเรื่องการเร่งรัดเบิกจ่ายให้เสร็จภายในครึ่งแรกของปี 60 ซึ่งทำไม่ทัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการอนุมัติเรื่องดังกล่าว มี อปท.ขอรับการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลกับ อปท.จำนวน 2,730 โครงการ วงเงิน 2,485.55 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้เงินสะสม 1,379.34 ล้านบาท และขอเงินสมทบ 1,106.21 ล้านบาท ซึ่งหลังจาก ครม.มีมติดังกล่าวแล้วจะเปิดโอกาสให้ อปท.สามารถลงทุนได้เพิ่มเติมอีกราว 17,000 ล้านบาท
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เพื่อให้ อปท.สามารถนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนของตนเอง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน การท่องเที่ยวชุมชน เนื่องจากเวลาที่ผ่านมาพบว่า อปท.ยังมีข้อจำกัดเรื่องการเร่งรัดเบิกจ่ายให้เสร็จภายในครึ่งแรกของปี 60 ซึ่งทำไม่ทัน
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการอนุมัติเรื่องดังกล่าว มี อปท.ขอรับการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลกับ อปท.จำนวน 2,730 โครงการ วงเงิน 2,485.55 ล้านบาท แบ่งเป็น ใช้เงินสะสม 1,379.34 ล้านบาท และขอเงินสมทบ 1,106.21 ล้านบาท ซึ่งหลังจาก ครม.มีมติดังกล่าวแล้วจะเปิดโอกาสให้ อปท.สามารถลงทุนได้เพิ่มเติมอีกราว 17,000 ล้านบาท