วันนี้ (7 พ.ค.) นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมประชุมหารือรับฟังปัญหาและข้อแก้ไขที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปรับปรุงแก้ไขปัญหา ก่อนถูกขึ้นทะเบียนถอดถอนออกจากมรดกโลก ซึ่งการประชุมครั้งนี้กรมศิลปากรนำเสนอข้อมูลในการจัดระเบียบพื้นที่ร้านค้าภายในอุทยานประวัติศาสตร์ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมากว่า 10 ปี ขณะนี้ได้ย้ายร้านค้าออกจากพื้นที่ที่มีการบุกรุกพื้นที่ของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาเสร็จสิ้นแล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อรับฟังปัญหาและดูความพร้อมในการปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรี อยุธยาจำนวน 5 ข้อ ได้แก่ การปรับปรุงสิ่งก่อสร้างภายในอุทยานประวัติศาสตร์ การปรับแผนแม่บทในการพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์พระนคร ศรีอยุธยา การส่งเจ้าหน้าที่ของอุทยานประวัติศาสตร์ไปศึกษาหาความรู้ในการพัฒนาโบราณสถาน การบูรณะโบราณสถานด้วยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์มาให้ความรู้และตรวจสอบความชัดเจนในด้านประวัติศาสตร์ของโบราณสถานต่างๆ ให้คงอยู่สืบไป ซึ่งขณะนี้ปัญหาต่างๆ ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด กระทรวงวัฒนธรรมได้ทำตามแผนของยูเนสโกและพร้อมตอบทุกคำถามเพื่อรักษามรดกโลกของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้อยู่คู่คนไทยตลอดไป ทั้งนี้ จะทำรายงานเข้าสู่ที่ประชุมของยูเนสโกภายในเดือนมิถุนายนนี้
ด้านนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า หนังสือที่ยูเนสโกจัดทำถึงกระทรวงวัฒนธรรม เป็นหนังสือแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับพื้นที่มรดกโลก ไม่ใช่หนังสือถอดถอน ซึ่งทางกระทรวงฯ มีการชี้แจงตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา และได้ทำงานตามแผนที่ชี้แจง ทั้งการจัดประชุมนานาชาติ เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเข้ามาช่วยในการอบรมเรื่องของแผนการก่อสร้างในเขตต่างๆ และการบูรณะ ซึ่งปัจจุบันมีการเข้มงวดมากขึ้น ภายใต้การดูแลของคณะอำนวยการดูแลควบคุมอุทยานประวัติศาสตร์ โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ตลอดจนความไม่เป็นระเบียบของร้านค้าบริเวณวัดมงคลบพิตรและวัดมหาธาตุ ก็มีการแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว จึงไม่กังวลใจต่อการจะชี้แจงกับทางยูเนสโกครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายนนี้
ส่วนปัญหาการจัดระเบียบร้านค้าที่เกรงว่าจะกระทบกับคนในพื้นที่นั้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ทางพ่อค้าแม่ค้ายังสามารถขายของในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ได้เหมือนเดิม แต่จะต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนในชุมชนกับโบราณสถานสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความสมดุล ทั้งการอนุรักษ์ วิถีชีวิตและการพัฒนา เพียงแต่ระยะแรกอาจเกิดปัญหาขัดข้องอยู่บ้าง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อรับฟังปัญหาและดูความพร้อมในการปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรี อยุธยาจำนวน 5 ข้อ ได้แก่ การปรับปรุงสิ่งก่อสร้างภายในอุทยานประวัติศาสตร์ การปรับแผนแม่บทในการพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์พระนคร ศรีอยุธยา การส่งเจ้าหน้าที่ของอุทยานประวัติศาสตร์ไปศึกษาหาความรู้ในการพัฒนาโบราณสถาน การบูรณะโบราณสถานด้วยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์มาให้ความรู้และตรวจสอบความชัดเจนในด้านประวัติศาสตร์ของโบราณสถานต่างๆ ให้คงอยู่สืบไป ซึ่งขณะนี้ปัญหาต่างๆ ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด กระทรวงวัฒนธรรมได้ทำตามแผนของยูเนสโกและพร้อมตอบทุกคำถามเพื่อรักษามรดกโลกของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้อยู่คู่คนไทยตลอดไป ทั้งนี้ จะทำรายงานเข้าสู่ที่ประชุมของยูเนสโกภายในเดือนมิถุนายนนี้
ด้านนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า หนังสือที่ยูเนสโกจัดทำถึงกระทรวงวัฒนธรรม เป็นหนังสือแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับพื้นที่มรดกโลก ไม่ใช่หนังสือถอดถอน ซึ่งทางกระทรวงฯ มีการชี้แจงตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา และได้ทำงานตามแผนที่ชี้แจง ทั้งการจัดประชุมนานาชาติ เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปเข้ามาช่วยในการอบรมเรื่องของแผนการก่อสร้างในเขตต่างๆ และการบูรณะ ซึ่งปัจจุบันมีการเข้มงวดมากขึ้น ภายใต้การดูแลของคณะอำนวยการดูแลควบคุมอุทยานประวัติศาสตร์ โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ตลอดจนความไม่เป็นระเบียบของร้านค้าบริเวณวัดมงคลบพิตรและวัดมหาธาตุ ก็มีการแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว จึงไม่กังวลใจต่อการจะชี้แจงกับทางยูเนสโกครั้งต่อไปในเดือนมิถุนายนนี้
ส่วนปัญหาการจัดระเบียบร้านค้าที่เกรงว่าจะกระทบกับคนในพื้นที่นั้น อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ทางพ่อค้าแม่ค้ายังสามารถขายของในพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ได้เหมือนเดิม แต่จะต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนในชุมชนกับโบราณสถานสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความสมดุล ทั้งการอนุรักษ์ วิถีชีวิตและการพัฒนา เพียงแต่ระยะแรกอาจเกิดปัญหาขัดข้องอยู่บ้าง