บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (7 พ.ค.) ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 186 วัน ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย
น.ส.สตรี คงมีคุณ อายุ 76 ปี พสกนิกรจาก จ.สุรินทร์ เดินทางมาโดยรถไฟเพื่อมากราบสักการะพระบรมศพ นับเป็นครั้งที่ 7 ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ เปิดเผยว่า อยากมากราบในหลวง ร.9 เมื่อมีโอกาส ถึงแม้ว่าตนจะหัวเข่าหลุดต้องใช้ไม้เท้าช่วยเหลือในการเดิน แต่ก็อยากมากราบพระองค์ท่าน และตนก็ไม่อยากจะนั่งรถเข็น เพราะคิดว่ายังสามารถเดินได้ แม้ว่าจะช้าต้องให้คนข้างหลังเดินไปก่อนก็ตาม แต่ตนก็ไม่ย่อท้อเพื่อได้มากราบพระองค์อย่างใกล้ชิด
"บอกไม่ถูกว่าทำไมอยากมากราบในหลวง ร.9 แต่ทุกครั้งที่มาเป็นความรู้สึกตื้นตันใจมาก ในชีวิตเคยได้รับเสด็จในหลวง ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ มายังวัดที่ จ.สุรินทร์ ได้มีโอกาสทำความสะอาดที่ประทับด้วย รู้สึกที่ใจที่ได้รับใช้ และแม้ว่าจะได้รับเสด็จในระยะไกล แต่ก็ดีใจที่มองเห็นทุกพระองค์ ในหลวงทรงมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับประชาชนคนไทย และได้น้อมนำในเรื่องความพอเพียง ปลูกผักกินเอง ทำปุ๋ยปลอดสารพิษ แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านด้วย" น.ส.สตรี กล่าว
นายวิศิษฐ์ ชื่นรัตนกุล อายุ 48 ปีเดินทางมาพร้อมกับภรรยา น.ส.ศิริเพ็ญ หวังดำรงเวศ อายุ 47 ปี และลูกชาย ด.ช.ภูมิพัฒน์ ชื่นรัตนกุล วัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากบ้านพักย่านสวนมะลิ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มากันพร้อมหน้าครอบครัว เพราะก่อนหน้านี้ตนเองและภรรยามีโอกาสได้มาร่วมเป็นเจ้าภาพครั้งหนึ่งแล้ว
"เมื่อตอนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ.2529 ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่มีโอกาสเห็นพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดที่สุด รู้สึกดีใจและปลื้มใจมาก ทั้งยังประทับใจพระองค์ท่านที่ทรงเสียสละ ทรงงานทุกวันเพื่อประชาชนคนไทย ซึ่งตัวผมเองยังได้นำพระองค์ท่านมาเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต ทั้งในเรื่องความพยายาม และความอดทนในการทำงาน และยังสอนให้ลูกชายรู้จักพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย" นายวิศิษฐ์ กล่าว
นางกอบกุล เพียยา อาชีพเกษตรกร อายุ 47 ปี เดินทางโดยรถไฟมาพร้อมญาติพี่น้องจากจังหวัดบุรีรัมย์ แล้วมาพักกับญาติที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางมาเข้าแถวรอกราบพระบรมศพช่วงเวลา 07.00 น. และได้เข้ากราบก่อน 09.00 น. กล่าวว่า วันนี้รอไม่นานและไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะอยากมากราบตั้งแต่แรก แต่ด้วยเราคนบ้านนอกไม่รู้จักถนนหนทาง ได้ญาติที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วยพามา และวันนี้ก็ทำได้ตามความตั้งใจ นับเป็นครั้งแรกของชีวิต รู้สึกตื้นตันที่ได้มีโอกาส
ทั้งนี้ เกิดจากความศรัทธาที่พ่อหลวงทรงทำมาให้พวกเราเยอะ ตอนเล็กๆ จำได้ว่าพระองค์ประทับรถไฟมาที่สถานีรถไฟลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ทุกวันนี้ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดอยู่ที่สถานีให้เด็กรุ่นหลังได้ระลึกถึงในหลวง ร.9
นอกจากนี้ ได้ยึดหลักคำสอนของในหลวง ร.9 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวมตัวกันของคนในหมู่บ้าน ต.ผไทรินทร์ จัดตั้งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง โดยนอกเหนือจากการทำนา ก็ได้ปลูกพืชผักที่นอกจากเอาไว้กินเอง เมื่อมีจำนวนมากก็นำไปแจกจ่ายและขายจนมีรายได้เสริมให้ครอบครัว กระทั่งพืชผักที่ปลูก อาทิ ผักชี คึ่นฉ่าย โดยเฉพาะพริก กลายเป็นสินค้าของจังหวัดที่ส่งออกต่างประเทศได้ รวมถึงในพื้นที่ยังขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำไร่นาสวนผสม ทำปุ๋ยหมักใช้เอง ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตคนในหมู่บ้านมีอยู่มีกิน และมีรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างพอเพียง
น.ส.สตรี คงมีคุณ อายุ 76 ปี พสกนิกรจาก จ.สุรินทร์ เดินทางมาโดยรถไฟเพื่อมากราบสักการะพระบรมศพ นับเป็นครั้งที่ 7 ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ เปิดเผยว่า อยากมากราบในหลวง ร.9 เมื่อมีโอกาส ถึงแม้ว่าตนจะหัวเข่าหลุดต้องใช้ไม้เท้าช่วยเหลือในการเดิน แต่ก็อยากมากราบพระองค์ท่าน และตนก็ไม่อยากจะนั่งรถเข็น เพราะคิดว่ายังสามารถเดินได้ แม้ว่าจะช้าต้องให้คนข้างหลังเดินไปก่อนก็ตาม แต่ตนก็ไม่ย่อท้อเพื่อได้มากราบพระองค์อย่างใกล้ชิด
"บอกไม่ถูกว่าทำไมอยากมากราบในหลวง ร.9 แต่ทุกครั้งที่มาเป็นความรู้สึกตื้นตันใจมาก ในชีวิตเคยได้รับเสด็จในหลวง ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ มายังวัดที่ จ.สุรินทร์ ได้มีโอกาสทำความสะอาดที่ประทับด้วย รู้สึกที่ใจที่ได้รับใช้ และแม้ว่าจะได้รับเสด็จในระยะไกล แต่ก็ดีใจที่มองเห็นทุกพระองค์ ในหลวงทรงมอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับประชาชนคนไทย และได้น้อมนำในเรื่องความพอเพียง ปลูกผักกินเอง ทำปุ๋ยปลอดสารพิษ แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านด้วย" น.ส.สตรี กล่าว
นายวิศิษฐ์ ชื่นรัตนกุล อายุ 48 ปีเดินทางมาพร้อมกับภรรยา น.ส.ศิริเพ็ญ หวังดำรงเวศ อายุ 47 ปี และลูกชาย ด.ช.ภูมิพัฒน์ ชื่นรัตนกุล วัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากบ้านพักย่านสวนมะลิ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มากันพร้อมหน้าครอบครัว เพราะก่อนหน้านี้ตนเองและภรรยามีโอกาสได้มาร่วมเป็นเจ้าภาพครั้งหนึ่งแล้ว
"เมื่อตอนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ.2529 ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นครั้งเดียวที่มีโอกาสเห็นพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดที่สุด รู้สึกดีใจและปลื้มใจมาก ทั้งยังประทับใจพระองค์ท่านที่ทรงเสียสละ ทรงงานทุกวันเพื่อประชาชนคนไทย ซึ่งตัวผมเองยังได้นำพระองค์ท่านมาเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิต ทั้งในเรื่องความพยายาม และความอดทนในการทำงาน และยังสอนให้ลูกชายรู้จักพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านผ่านอินเทอร์เน็ตด้วย" นายวิศิษฐ์ กล่าว
นางกอบกุล เพียยา อาชีพเกษตรกร อายุ 47 ปี เดินทางโดยรถไฟมาพร้อมญาติพี่น้องจากจังหวัดบุรีรัมย์ แล้วมาพักกับญาติที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางมาเข้าแถวรอกราบพระบรมศพช่วงเวลา 07.00 น. และได้เข้ากราบก่อน 09.00 น. กล่าวว่า วันนี้รอไม่นานและไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะอยากมากราบตั้งแต่แรก แต่ด้วยเราคนบ้านนอกไม่รู้จักถนนหนทาง ได้ญาติที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วยพามา และวันนี้ก็ทำได้ตามความตั้งใจ นับเป็นครั้งแรกของชีวิต รู้สึกตื้นตันที่ได้มีโอกาส
ทั้งนี้ เกิดจากความศรัทธาที่พ่อหลวงทรงทำมาให้พวกเราเยอะ ตอนเล็กๆ จำได้ว่าพระองค์ประทับรถไฟมาที่สถานีรถไฟลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ เพื่อทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ทุกวันนี้ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ติดอยู่ที่สถานีให้เด็กรุ่นหลังได้ระลึกถึงในหลวง ร.9
นอกจากนี้ ได้ยึดหลักคำสอนของในหลวง ร.9 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยรวมตัวกันของคนในหมู่บ้าน ต.ผไทรินทร์ จัดตั้งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง โดยนอกเหนือจากการทำนา ก็ได้ปลูกพืชผักที่นอกจากเอาไว้กินเอง เมื่อมีจำนวนมากก็นำไปแจกจ่ายและขายจนมีรายได้เสริมให้ครอบครัว กระทั่งพืชผักที่ปลูก อาทิ ผักชี คึ่นฉ่าย โดยเฉพาะพริก กลายเป็นสินค้าของจังหวัดที่ส่งออกต่างประเทศได้ รวมถึงในพื้นที่ยังขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำไร่นาสวนผสม ทำปุ๋ยหมักใช้เอง ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตคนในหมู่บ้านมีอยู่มีกิน และมีรายได้เลี้ยงครอบครัวอย่างพอเพียง