พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อม พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 แถลงภายหลังยึดทรัพย์บริษัทไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด ซึ่งมีนายปริญญา บุรัสการและ น.ส.จิรฐา ทองเหลือ เป็นกรรมการบริษัท หลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในธุรกิจจัดหาห้องพักให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในไทยแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง แต่เมื่อผู้เสียหายร่วมลงทุนแล้วกลับไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญา ทำให้มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 250 ล้านบาท
ทั้งนี้ ดีเอสไอเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย 2 แห่ง เพื่อยึดอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยมีบ้านเลขที่ 579/216 เขตจอมทองซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด และบ้านเลขที่ 117/7 เขตจอมทอง ซึ่งนายปริญญาได้ซื้อไว้มูลค่า 30 ล้านบาท พร้อมทั้งยึดรถยนต์ 3 คันมูลค่า 7 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ (Big Bike) 7 คัน มูลค่ารวมประมาณ 3 ล้านบาท และอายัดเงินสด 6 ล้านบาท ที่นายปริญญา นำไปวางมัดจำซื้อรถหรูแลมโบกินี รวมทรัพย์สินที่ยึดอายัดทั้งหมดประมาณ 50 ล้านบาท
ด้าน พ.ต.ท.พเยาว์ กล่าวว่า จากการสอบสวนยังพบว่าผู้ต้องหาได้ร่วมกับนายอภิวัฒน์ อัครเดช หรือ โจ้ ซึ่งเป็นญาติสนิท ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายลงทุนธุรกิจน้ำดื่มไอวี่และตุ๊กตา ซึ่งในส่วนของธุรกิจน้ำดื่มไอวี่และตุ๊กตา ผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว เมื่อดีเอสไอพบว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกัน จึงประสาน ปอส. ขอรับโอนสำนวนมาที่ดีเอสไอ ส่วน น.ส.จิรฐา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะขอศาลเพื่อออกหมายจับ จากการข่าวพบว่า น.ส.จิรฐา ซึ่งเป็นแพทย์ยังทำงานตามปกติ ส่วนนายปริญญา ได้เข้ามอบตัวแล้ว และให้การกับเจ้าหน้าที่ ปอศ.ว่า ถูกนายโจ้ ซึ่งเป็นญาติหลอกลวงเช่นกัน
ทั้งนี้ ดีเอสไอเข้าตรวจค้นสถานที่เป้าหมาย 2 แห่ง เพื่อยึดอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยมีบ้านเลขที่ 579/216 เขตจอมทองซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ไนซ์ เดย์ ทราเวล จำกัด และบ้านเลขที่ 117/7 เขตจอมทอง ซึ่งนายปริญญาได้ซื้อไว้มูลค่า 30 ล้านบาท พร้อมทั้งยึดรถยนต์ 3 คันมูลค่า 7 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ (Big Bike) 7 คัน มูลค่ารวมประมาณ 3 ล้านบาท และอายัดเงินสด 6 ล้านบาท ที่นายปริญญา นำไปวางมัดจำซื้อรถหรูแลมโบกินี รวมทรัพย์สินที่ยึดอายัดทั้งหมดประมาณ 50 ล้านบาท
ด้าน พ.ต.ท.พเยาว์ กล่าวว่า จากการสอบสวนยังพบว่าผู้ต้องหาได้ร่วมกับนายอภิวัฒน์ อัครเดช หรือ โจ้ ซึ่งเป็นญาติสนิท ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายลงทุนธุรกิจน้ำดื่มไอวี่และตุ๊กตา ซึ่งในส่วนของธุรกิจน้ำดื่มไอวี่และตุ๊กตา ผู้เสียหายได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) แล้ว เมื่อดีเอสไอพบว่าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกัน จึงประสาน ปอส. ขอรับโอนสำนวนมาที่ดีเอสไอ ส่วน น.ส.จิรฐา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะขอศาลเพื่อออกหมายจับ จากการข่าวพบว่า น.ส.จิรฐา ซึ่งเป็นแพทย์ยังทำงานตามปกติ ส่วนนายปริญญา ได้เข้ามอบตัวแล้ว และให้การกับเจ้าหน้าที่ ปอศ.ว่า ถูกนายโจ้ ซึ่งเป็นญาติหลอกลวงเช่นกัน