วันนี้ (29 เม.ย.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 178 วัน ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
น.ส.หทัยชนก ประภาชัย อาชีพพนักงานของรัฐ และ นายวีระศักดิ์ หมื่นหาวงศ์ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้เดินทางจากบ้านเกิด จ.นครราชสีมา ตั้งแต่ตี 2 ของเช้าวันนี้ และได้เดินทางมาถึงท้องสนามหลวง ตอน 8 โมงเช้า แล้วได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพตอน 11 โมงเช้า ซึ่ง น.ส.หทัยชนก กล่าวว่า ครั้งนี้ใช้เวลารอเพียงแค่ 3 ชั่วโมงถือว่าไม่นานมาก ถ้าเทียบกับครั้งแรกๆ ที่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 14 ชั่วโมง วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพล้วนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ ขนลุกซู่ ไม่คิดว่าพระองค์จะจากพวกเราชาวไทยไปแล้วจริงๆ ตนรู้สึกประทับใจในทุกพระราชกรณียกิจในหลวง ร.9 ที่ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด เพราะตั้งแต่เล็กจนโตมาภาพที่เห็นคื ในหลวง ร.9 เปรียบเสมือนพ่อของชางไทยทุกคนถึงแม้ท่านจะเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ทรงงานทุกอย่าง เพื่อให้ชาวไทยทุกคนอยู่ดีกินดี พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์สามารถทำให้ฝนตกได้ และสามารถทำให้ทุกถิ่นที่ที่พระองค์เสด็จฯ ไปมีแต่ความเจริญอยู่ดีกินดี
ด้านนายวิเชียร ศรีปรุ อายุ 52 ปี อาชีพค้าขาย ชาว จ.หนองคาย ซึ่งเดินทางมาพร้อมครอบครัว มีภรรยา คือ นางปิยฉัตร และลูกสาว คือ น.ส.ฐิติมา ศรีปรุ อายุ 24 ปี อาชีพล่ามภาษาญี่ปุ่น บริษัทเอกชน เทศบาลเมืองพัทยา
โดยนายวิเชียร กล่าวว่า ตนและภรรยาเพิ่งจะเดินทางมาจาก จ.หนองคาย และได้นัดหมายให้บุตรสาวซึ่งทำงานอยู่ที่พัทยาเดินทางมาเจอกันที่โรงแรมย่านบางลำพู ก่อนพากันเดินทางมาเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวง ร.9 เป็นครั้งแรกรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อปวงชนชาวไทย รวมถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สอนให้ทุกคนรู้จักความพอเพียงและมีความขยันอดทน
ขณะที่ น.ส.ฐิติมา กล่าวเสริมว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่าท่านเสด็จสวรรคตทุกคนรู้สึกเสียใจ ยังทำใจไม่ได้ และก็จะถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระองค์ท่านอีก รู้สึกใจหาย แต่ยังไงก็ต้องมีวันนี้ก็ต้องทำใจ แต่สิ่งที่เราควรทำคือทำตามคำสอนของพระองค์ท่านให้ได้มากที่สุด ซึ่งพระราชดำรัสในโอกาสวันสำคัญต่างๆของพระองค์ท่านล้วนมีประโยชน์มากมาย หากเราสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต คือ มีความขยัน อดทน และเสียสละ
นางบุหงา พงษ์ประเสริฐ อายุ 61 ปี นักออกแบบกระเป๋า เครื่องนอนต่างๆ กล่าวว่านับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ก็ได้มากราบสักการะพระบรมศพนับได้ 20 กว่าครั้งแล้ว นอกจากจะมากราบพระบรมศพแล้ว ยังได้มาทำกิจกรรมจิตอาสา แจกอาหาร แนะนำเส้นทาง และคอยดูแลผู้เจ็บป่วยนำไปปฐมพยาบาลที่เต็นท์ต่างๆ ต่อไป วันนี้ก็ได้พาเพื่อนมาสักการะด้วย อยากจะมาทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะเป็นการส่งเสด็จครั้งสุดท้าย ซึ่งตั้งใจว่างานถวายพระเพลิงก็จะมาปักหลักอยู่ที่สนามหลวง เพื่อกราบแทบพระบาทให้ได้
น.ส.หทัยชนก ประภาชัย อาชีพพนักงานของรัฐ และ นายวีระศักดิ์ หมื่นหาวงศ์ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ได้เดินทางจากบ้านเกิด จ.นครราชสีมา ตั้งแต่ตี 2 ของเช้าวันนี้ และได้เดินทางมาถึงท้องสนามหลวง ตอน 8 โมงเช้า แล้วได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพตอน 11 โมงเช้า ซึ่ง น.ส.หทัยชนก กล่าวว่า ครั้งนี้ใช้เวลารอเพียงแค่ 3 ชั่วโมงถือว่าไม่นานมาก ถ้าเทียบกับครั้งแรกๆ ที่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 14 ชั่วโมง วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพล้วนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ ขนลุกซู่ ไม่คิดว่าพระองค์จะจากพวกเราชาวไทยไปแล้วจริงๆ ตนรู้สึกประทับใจในทุกพระราชกรณียกิจในหลวง ร.9 ที่ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด เพราะตั้งแต่เล็กจนโตมาภาพที่เห็นคื ในหลวง ร.9 เปรียบเสมือนพ่อของชางไทยทุกคนถึงแม้ท่านจะเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่พระองค์ทรงงานทุกอย่าง เพื่อให้ชาวไทยทุกคนอยู่ดีกินดี พระองค์ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์สามารถทำให้ฝนตกได้ และสามารถทำให้ทุกถิ่นที่ที่พระองค์เสด็จฯ ไปมีแต่ความเจริญอยู่ดีกินดี
ด้านนายวิเชียร ศรีปรุ อายุ 52 ปี อาชีพค้าขาย ชาว จ.หนองคาย ซึ่งเดินทางมาพร้อมครอบครัว มีภรรยา คือ นางปิยฉัตร และลูกสาว คือ น.ส.ฐิติมา ศรีปรุ อายุ 24 ปี อาชีพล่ามภาษาญี่ปุ่น บริษัทเอกชน เทศบาลเมืองพัทยา
โดยนายวิเชียร กล่าวว่า ตนและภรรยาเพิ่งจะเดินทางมาจาก จ.หนองคาย และได้นัดหมายให้บุตรสาวซึ่งทำงานอยู่ที่พัทยาเดินทางมาเจอกันที่โรงแรมย่านบางลำพู ก่อนพากันเดินทางมาเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวง ร.9 เป็นครั้งแรกรู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก เพื่อน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อปวงชนชาวไทย รวมถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สอนให้ทุกคนรู้จักความพอเพียงและมีความขยันอดทน
ขณะที่ น.ส.ฐิติมา กล่าวเสริมว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่าท่านเสด็จสวรรคตทุกคนรู้สึกเสียใจ ยังทำใจไม่ได้ และก็จะถึงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระองค์ท่านอีก รู้สึกใจหาย แต่ยังไงก็ต้องมีวันนี้ก็ต้องทำใจ แต่สิ่งที่เราควรทำคือทำตามคำสอนของพระองค์ท่านให้ได้มากที่สุด ซึ่งพระราชดำรัสในโอกาสวันสำคัญต่างๆของพระองค์ท่านล้วนมีประโยชน์มากมาย หากเราสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต คือ มีความขยัน อดทน และเสียสละ
นางบุหงา พงษ์ประเสริฐ อายุ 61 ปี นักออกแบบกระเป๋า เครื่องนอนต่างๆ กล่าวว่านับแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคต ก็ได้มากราบสักการะพระบรมศพนับได้ 20 กว่าครั้งแล้ว นอกจากจะมากราบพระบรมศพแล้ว ยังได้มาทำกิจกรรมจิตอาสา แจกอาหาร แนะนำเส้นทาง และคอยดูแลผู้เจ็บป่วยนำไปปฐมพยาบาลที่เต็นท์ต่างๆ ต่อไป วันนี้ก็ได้พาเพื่อนมาสักการะด้วย อยากจะมาทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะเป็นการส่งเสด็จครั้งสุดท้าย ซึ่งตั้งใจว่างานถวายพระเพลิงก็จะมาปักหลักอยู่ที่สนามหลวง เพื่อกราบแทบพระบาทให้ได้