บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (21 เม.ย.) ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 170 วัน ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางสาวอลิษา ทสุพล อายุ 30 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี ได้เดินทางมาโดยเรือด่วนพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกคน ซึ่งทั้งคู่มาถึงท้องสนามหลวงตอน 09.00 น. และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตอน 10.00 น. กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศนั้น เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ ภูมิใจ ถึงแม้จะเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวง ร.9 แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทพระวรกายเพื่อประขาชนชาวไทยมามากแล้ว จากนี้ไปพระองค์จะได้ทรงพักผ่อนบนสวรรคาลัย และทุกวันนี้ก็ได้นำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ด้วยการไปศึกษาการเพาะเห็ดนางฟ้า ผ่านยูทูบ แล้วก็นำความรู้นั้นมาเพาะเห็ดนางฟ้าไว้รับประทานเองที่บ้าน และคิดว่าถ้าวันหนึ่งเห็ดนางฟ้าออกดอกออกผลเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็จะส่งไปให้พ่อกับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดได้รับประทานต่อไป และถ้าเหลืออีกเป็นจำนวนมากก็จะนำไปวางขายในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง
นายประดิษฐ์ อินทา อายุ 55 ปี เกษตรกรอำเภอยางสีสุราช จ.มหาสารคาม เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสมาครั้งแรก ขณะที่ลูกสาว น.ส.อิสริยาพร ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และอยากจะมากราบพระบรมศพตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่ด้วยเขาต้องเลี้ยงลูกอายุขวบกว่า และรอให้ครอบครัวได้มากราบพระบรมศพพร้อมกัน จึงได้เดินทางมาวันนี้ ทั้งนี้ เพราะพวกเรารู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ที่ทรงงานหนักเพื่อชาวไทย พระองค์เปรียบเหมือนพระโพธิสัตว์ในโลกมนุษย์ ทรงพยายามสอนให้เรามีความเพียร รู้จักอดทน โดยทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่าง ไม่มีภูเขาลูกไหนที่ท่านยังไม่ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนประชาชน ตอนเด็กจำได้ว่าพระองค์เสด็จฯ มายังภาคอีสาน แม้ไม่เคยได้ไปเฝ้าฯ รับเสด็จ แต่ก็ดีใจมากที่ท่านไม่ลืมพวกเรา มาช่วยเหลือเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะความแห้งแล้ง แล้งขนาดที่น้ำดื่มต้องไปรอต่อแถวรองน้ำนานร่วมครึ่งวัน แต่เมื่อพระองค์ทรงทำฝนหลวง ทำให้เรามีน้ำกินน้ำใช้พอเพียง ชีวิตดีขึ้น ชีวิตเราเปรียบเหมือนดินที่แตกระแหง แต่พระองค์ทรงเป็นน้ำทิพย์มาชะโลมแผ่นดินให้มีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังยึดหลักการพออยู่พิกิน พอเพียง ด้วยการปลูกพืชผัก ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก มีบ่อเลี้ยงปลาข้างบ้าน หากมีเหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อมีเศษผัก เศษอาหารก็นำมาทำปุ๋ยหมัก ไม่ใช้สารเคมี สุขภาพเราก็ดีขึ้น สามารถประหยัดเงินในส่วนนี้ได้เยอะ ทำให้มีเงินออมของครอบครัวมากขึ้นด้วย
ขณะที่นายณัฐพนธ์ แสงแดงชาติ พนักงานบริษัทเอกชน อายุ 35 ปี เดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ พร้อมเพื่อนสาว น.ส.จตุพร ปิ่นสุวรรณ อายุ 31 ปี พนักงานบริษัทเอกชนเช่นเดียวกัน เปิดเผยความรู้สึกภายหลังเข้าสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก ว่า ตนคิดว่าตนเป็นพสกนิกรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งหากมีโอกาสก็จำเป็นต้องมีสักวันที่เดินทางเข้ามาสักการะพระบรมศพ แม้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นพระบรมโกศของท่าน ตนก็ตื้นใจมาก พยายามมองให้ได้นานที่สุด พร้อมระลึกถึงท่านให้ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย
"แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็ประทับใจในโครงการพระราชดำริทุกโครงการ เพราะทุกอย่างเป็นโครงการเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อส่วนพระองค์ อย่างสิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ โครงการที่เกี่ยวกับเส้นทาง ถนนหนทาง สะพานต่างๆ ที่ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างขึ้น เนื่องจากทำให้ประเทศไทยมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวก ไม่เหมือนอดีต แม้ช่วงชีวิตที่เกิดมาไม่เคยรับเสด็จท่านแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตนก็รับรู้ว่าประเทศไทยของเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงงานหนักเพื่อปวงชน อนึ่ง ในช่วงวัยเรียนทางโรงเรียนจะได้แจกสมุดปกน้ำตาลที่มีรูปของในหลวงรัชกาลที่ 9 มอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียน ตลอดจนวิชาเรียนที่แทรกซึมเนื้อหาเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 จนปัจจุบันท่านเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต" นายณัฐพนธ์กล่าว
ส่วน น.ส.จตุพร กล่าวว่า ความจริงตนเดินทางมาถวายสักการะแล้วถึงสามครั้ง ซึ่งหากมีโอกาสก็จะเดินทางมาอีกเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นความรู้สึกที่ดีเพราะทุกครั้งที่เดินมาต่างเจอบรรยากาศที่แตกต่างออกไป อย่างการเดินทางครั้งแรกช่วงนั้นเป็นความตั้งใจที่จะเดินทางมาถวายพระบรมศพภายหลังที่ท่านเสด็จสวรรคตในช่วงปลายเดือนตุลาคม ขณะนั้นประชาชนเดินทางมาเยอะมาก รู้สึกอัดอั้นตันใจ เห็นคนไทยต่างหยิบยื่นความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนครั้งที่สองบรรยากาศยังคงเป็นไปแบบเดิม ตนก็ยังคงรู้สึกประทับใจ และครั้งที่สามบรรยากาศแม้ไม่ได้คล้ายคลึงกับในครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่เข้าไปกราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ยังคงตื้นตันใจ ไม่อยากละสายตาไปจากตรงนั้น
"สิ่งที่ประทับใจในตัวท่านที่สุดคือการทรงงานหนักของท่าน สอดคล้องกับตัวเองที่ปัจจุบันทำงานออฟฟิศ อาจจะมีบ้างที่ทำงานเหนื่อย งานหนัก และงานเยอะ แต่เมื่อมองย้อนไปที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พบว่าท่านทรงงานหนักกว่าเรามากนัก จึงอยากจะฝากเรื่องแนวคิดของการทำงานให้รู้จักอดทน และที่สำคัญคือ อยากให้เด็กรุ่นยึดหลักความพอเพียงมาใช้ เพราะปัจจุบันโลกก้าวหน้าไปมากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาทดแทนสิ่งเดิม แต่พอเพียงไม่ใช่หมายถึงการใส่เสื้อผ้าชุดเดิมหรืออะไร แต่หมายถึงความพอเพียงในศักยภาพเท่าที่มี" น.ส.จตุพรกล่าว
นางสาวอลิษา ทสุพล อายุ 30 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี ได้เดินทางมาโดยเรือด่วนพร้อมเพื่อนร่วมงานอีกคน ซึ่งทั้งคู่มาถึงท้องสนามหลวงตอน 09.00 น. และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตอน 10.00 น. กล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว่า วินาทีที่ได้กราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศนั้น เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ ภูมิใจ ถึงแม้จะเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของในหลวง ร.9 แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทพระวรกายเพื่อประขาชนชาวไทยมามากแล้ว จากนี้ไปพระองค์จะได้ทรงพักผ่อนบนสวรรคาลัย และทุกวันนี้ก็ได้นำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ด้วยการไปศึกษาการเพาะเห็ดนางฟ้า ผ่านยูทูบ แล้วก็นำความรู้นั้นมาเพาะเห็ดนางฟ้าไว้รับประทานเองที่บ้าน และคิดว่าถ้าวันหนึ่งเห็ดนางฟ้าออกดอกออกผลเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็จะส่งไปให้พ่อกับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดได้รับประทานต่อไป และถ้าเหลืออีกเป็นจำนวนมากก็จะนำไปวางขายในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่ง
นายประดิษฐ์ อินทา อายุ 55 ปี เกษตรกรอำเภอยางสีสุราช จ.มหาสารคาม เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสมาครั้งแรก ขณะที่ลูกสาว น.ส.อิสริยาพร ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และอยากจะมากราบพระบรมศพตั้งแต่ช่วงแรกๆ แต่ด้วยเขาต้องเลี้ยงลูกอายุขวบกว่า และรอให้ครอบครัวได้มากราบพระบรมศพพร้อมกัน จึงได้เดินทางมาวันนี้ ทั้งนี้ เพราะพวกเรารู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ที่ทรงงานหนักเพื่อชาวไทย พระองค์เปรียบเหมือนพระโพธิสัตว์ในโลกมนุษย์ ทรงพยายามสอนให้เรามีความเพียร รู้จักอดทน โดยทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่าง ไม่มีภูเขาลูกไหนที่ท่านยังไม่ได้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียนประชาชน ตอนเด็กจำได้ว่าพระองค์เสด็จฯ มายังภาคอีสาน แม้ไม่เคยได้ไปเฝ้าฯ รับเสด็จ แต่ก็ดีใจมากที่ท่านไม่ลืมพวกเรา มาช่วยเหลือเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ โดยเฉพาะความแห้งแล้ง แล้งขนาดที่น้ำดื่มต้องไปรอต่อแถวรองน้ำนานร่วมครึ่งวัน แต่เมื่อพระองค์ทรงทำฝนหลวง ทำให้เรามีน้ำกินน้ำใช้พอเพียง ชีวิตดีขึ้น ชีวิตเราเปรียบเหมือนดินที่แตกระแหง แต่พระองค์ทรงเป็นน้ำทิพย์มาชะโลมแผ่นดินให้มีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังยึดหลักการพออยู่พิกิน พอเพียง ด้วยการปลูกพืชผัก ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก มีบ่อเลี้ยงปลาข้างบ้าน หากมีเหลือก็แบ่งปันเพื่อนบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อมีเศษผัก เศษอาหารก็นำมาทำปุ๋ยหมัก ไม่ใช้สารเคมี สุขภาพเราก็ดีขึ้น สามารถประหยัดเงินในส่วนนี้ได้เยอะ ทำให้มีเงินออมของครอบครัวมากขึ้นด้วย
ขณะที่นายณัฐพนธ์ แสงแดงชาติ พนักงานบริษัทเอกชน อายุ 35 ปี เดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ พร้อมเพื่อนสาว น.ส.จตุพร ปิ่นสุวรรณ อายุ 31 ปี พนักงานบริษัทเอกชนเช่นเดียวกัน เปิดเผยความรู้สึกภายหลังเข้าสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก ว่า ตนคิดว่าตนเป็นพสกนิกรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งหากมีโอกาสก็จำเป็นต้องมีสักวันที่เดินทางเข้ามาสักการะพระบรมศพ แม้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นพระบรมโกศของท่าน ตนก็ตื้นใจมาก พยายามมองให้ได้นานที่สุด พร้อมระลึกถึงท่านให้ท่านเสด็จสู่สวรรคาลัย
"แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็ประทับใจในโครงการพระราชดำริทุกโครงการ เพราะทุกอย่างเป็นโครงการเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อส่วนพระองค์ อย่างสิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ โครงการที่เกี่ยวกับเส้นทาง ถนนหนทาง สะพานต่างๆ ที่ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างขึ้น เนื่องจากทำให้ประเทศไทยมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวก ไม่เหมือนอดีต แม้ช่วงชีวิตที่เกิดมาไม่เคยรับเสด็จท่านแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตนก็รับรู้ว่าประเทศไทยของเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงงานหนักเพื่อปวงชน อนึ่ง ในช่วงวัยเรียนทางโรงเรียนจะได้แจกสมุดปกน้ำตาลที่มีรูปของในหลวงรัชกาลที่ 9 มอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียน ตลอดจนวิชาเรียนที่แทรกซึมเนื้อหาเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 จนปัจจุบันท่านเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต" นายณัฐพนธ์กล่าว
ส่วน น.ส.จตุพร กล่าวว่า ความจริงตนเดินทางมาถวายสักการะแล้วถึงสามครั้ง ซึ่งหากมีโอกาสก็จะเดินทางมาอีกเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นความรู้สึกที่ดีเพราะทุกครั้งที่เดินมาต่างเจอบรรยากาศที่แตกต่างออกไป อย่างการเดินทางครั้งแรกช่วงนั้นเป็นความตั้งใจที่จะเดินทางมาถวายพระบรมศพภายหลังที่ท่านเสด็จสวรรคตในช่วงปลายเดือนตุลาคม ขณะนั้นประชาชนเดินทางมาเยอะมาก รู้สึกอัดอั้นตันใจ เห็นคนไทยต่างหยิบยื่นความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนครั้งที่สองบรรยากาศยังคงเป็นไปแบบเดิม ตนก็ยังคงรู้สึกประทับใจ และครั้งที่สามบรรยากาศแม้ไม่ได้คล้ายคลึงกับในครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่เข้าไปกราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ยังคงตื้นตันใจ ไม่อยากละสายตาไปจากตรงนั้น
"สิ่งที่ประทับใจในตัวท่านที่สุดคือการทรงงานหนักของท่าน สอดคล้องกับตัวเองที่ปัจจุบันทำงานออฟฟิศ อาจจะมีบ้างที่ทำงานเหนื่อย งานหนัก และงานเยอะ แต่เมื่อมองย้อนไปที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พบว่าท่านทรงงานหนักกว่าเรามากนัก จึงอยากจะฝากเรื่องแนวคิดของการทำงานให้รู้จักอดทน และที่สำคัญคือ อยากให้เด็กรุ่นยึดหลักความพอเพียงมาใช้ เพราะปัจจุบันโลกก้าวหน้าไปมากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาทดแทนสิ่งเดิม แต่พอเพียงไม่ใช่หมายถึงการใส่เสื้อผ้าชุดเดิมหรืออะไร แต่หมายถึงความพอเพียงในศักยภาพเท่าที่มี" น.ส.จตุพรกล่าว