บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 161 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางรัตนา เองอรทัยวัฒน์ อายุ 59 ปี เดินทางมาพร้อมสามีและลูกชายอีก3 คน จากจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวภายหลังสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ว่า เพิ่งเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯเป็นครั้งแรก และมีความตั้งใจจริงๆที่อยากจะพาลูกๆมาสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 และตั้งใจมาขอพรกับในหลวง ร.9 เนื่องในวันเทศกาลสงกรานต์ด้วย ที่ผ่านมาประทับใจในพระราชกรณียกิจของในหลวง ร.9 ทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่นำมาใช้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี จะบอกลูกชายทั้ง 3 คนเสมอว่าไม่ให้ประมาทกับการใช้ชีวิต ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างรู้คุณค่า และถ้าเรามีมากกว่าคนอื่นก็ต้องแบ่งปันให้กับผู้ที่มีน้อยกว่าเพียงเท่านี้เราก็มีความสุขแล้ว
ด้าน น.ส.อรวรรณ จาวิสูตร อายุ 29 ปี อาชีพพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านสาทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวของแฟน โดยมีคุณแม่ที่เพิ่งเดินทางมาจาก จ.กระบี่ ส่วนพี่สาวแฟนก็ทำงานอยู่ที่จ.ระยอง โดยทุกคนทำงานอยู่กันคนละที แต่ได้ใช้โอกาสวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์นัดเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมกันเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดมา และในวันนี้ก็ได้เข้ากราบพระองค์ท่านเร็วกว่าที่คิดไว้รู้สึกดีใจ ก่อนมาก็กังวลว่าจะมีประชาชนเดินทางมากันจำนวนมากและต้องรอนาน หลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัดในช่วงกลางวันจึงเลือกเดินทางมาตั้งแต่เช้า โดยมาถึงที่จุดพักคอยตั้งแต่เวลา 06.00 น.
นางสาววันดี เลิศดำรงรักษ์ อายุ 63 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร อาชีพค้าขาย กล่าวว่า ตัวเองมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่ 2 แต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนครั้งแรกคือ ปลื้มปีติที่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อแสดงความรักความคิดถึงพระองค์บ้าง โดยอาชีพค้าขาย ตัวเองจึงน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในเรื่องความซื่อตรงและความซื่อสัตย์ทั้งต่อตัวเองและต่อลูกค้า นอกจากนี้ก็เป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในที่นี้หมายถึงมีความสุขในสิ่งที่มีไม่ใช่จ่ายเกินตัว และไม่สร้างหนี้สินให้เป็นภาระแก่ตัวเองและผู้อื่น
นางสิริวรรณ นิ่มพิจารย์ อาชีพแม่บ้านวัย 71 ปี ชาวจังหวัดแพร่ แต่มาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ นานกว่า 50 ปี น้ำตานองหน้าเมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มาในวันนี้ โดยเจ้าตัวเผยว่า มาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลแล้ว 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะมากับน้องสาวบ้าง มากับเพื่อนบ้าง ตั้งใจว่าหลังสงกรานต์ก็จะมาอีก และส่วนใหญ่จะเลือกมาในช่วงเช้า เพราะอากาศไม่ร้อนมากนัก วันนี้ถึงพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปนานกว่าหลายเดือนแล้ว แต่ยังคิดถึงพระองค์ท่านมากๆ ทุกวันนี้เวลาดูข่าวพระราชสำนัก ยังร้องไห้คิดถึงพระองค์ท่านทุกที
นางรัตนา เองอรทัยวัฒน์ อายุ 59 ปี เดินทางมาพร้อมสามีและลูกชายอีก3 คน จากจังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวภายหลังสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ว่า เพิ่งเดินทางมาสักการะพระบรมศพฯเป็นครั้งแรก และมีความตั้งใจจริงๆที่อยากจะพาลูกๆมาสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 และตั้งใจมาขอพรกับในหลวง ร.9 เนื่องในวันเทศกาลสงกรานต์ด้วย ที่ผ่านมาประทับใจในพระราชกรณียกิจของในหลวง ร.9 ทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่นำมาใช้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี จะบอกลูกชายทั้ง 3 คนเสมอว่าไม่ให้ประมาทกับการใช้ชีวิต ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างรู้คุณค่า และถ้าเรามีมากกว่าคนอื่นก็ต้องแบ่งปันให้กับผู้ที่มีน้อยกว่าเพียงเท่านี้เราก็มีความสุขแล้ว
ด้าน น.ส.อรวรรณ จาวิสูตร อายุ 29 ปี อาชีพพนักงานบัญชีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งย่านสาทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมกับครอบครัวของแฟน โดยมีคุณแม่ที่เพิ่งเดินทางมาจาก จ.กระบี่ ส่วนพี่สาวแฟนก็ทำงานอยู่ที่จ.ระยอง โดยทุกคนทำงานอยู่กันคนละที แต่ได้ใช้โอกาสวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์นัดเดินทางมากราบถวายบังคมพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมกันเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดมา และในวันนี้ก็ได้เข้ากราบพระองค์ท่านเร็วกว่าที่คิดไว้รู้สึกดีใจ ก่อนมาก็กังวลว่าจะมีประชาชนเดินทางมากันจำนวนมากและต้องรอนาน หลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัดในช่วงกลางวันจึงเลือกเดินทางมาตั้งแต่เช้า โดยมาถึงที่จุดพักคอยตั้งแต่เวลา 06.00 น.
นางสาววันดี เลิศดำรงรักษ์ อายุ 63 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร อาชีพค้าขาย กล่าวว่า ตัวเองมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่ 2 แต่ความรู้สึกก็ยังเหมือนครั้งแรกคือ ปลื้มปีติที่มีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อแสดงความรักความคิดถึงพระองค์บ้าง โดยอาชีพค้าขาย ตัวเองจึงน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในเรื่องความซื่อตรงและความซื่อสัตย์ทั้งต่อตัวเองและต่อลูกค้า นอกจากนี้ก็เป็นหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในที่นี้หมายถึงมีความสุขในสิ่งที่มีไม่ใช่จ่ายเกินตัว และไม่สร้างหนี้สินให้เป็นภาระแก่ตัวเองและผู้อื่น
นางสิริวรรณ นิ่มพิจารย์ อาชีพแม่บ้านวัย 71 ปี ชาวจังหวัดแพร่ แต่มาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ นานกว่า 50 ปี น้ำตานองหน้าเมื่อถูกถามถึงความรู้สึกที่มาในวันนี้ โดยเจ้าตัวเผยว่า มาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลแล้ว 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะมากับน้องสาวบ้าง มากับเพื่อนบ้าง ตั้งใจว่าหลังสงกรานต์ก็จะมาอีก และส่วนใหญ่จะเลือกมาในช่วงเช้า เพราะอากาศไม่ร้อนมากนัก วันนี้ถึงพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปนานกว่าหลายเดือนแล้ว แต่ยังคิดถึงพระองค์ท่านมากๆ ทุกวันนี้เวลาดูข่าวพระราชสำนัก ยังร้องไห้คิดถึงพระองค์ท่านทุกที