xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 7 เมษายน 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

..

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ แก่ปวงชนชาวไทย เรียบร้อยแล้ว นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 บนเส้นทางประชาธิปไตย 85 ปี ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่สำคัญเป็นรัฐธรรมนูญที่ได้รับความเห็นชอบ จากการออกเสียงประชามติของปวงชนชาวไทย

ทั้งนี้ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่ง ของเหตุการณ์อื่นๆ ที่จะตามมา จนกระทั่งการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง และ เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว รัฐบาลนี้ ก็จะส่งมอบภารกิจให้รัฐบาลใหม่ อันจะเป็นการเริ่มช่วงเวลาระยะสาม ตามโรดแมปที่รัฐบาลและ คสช. วางเอาไว้แต่แรก ผมอยากใช้โอกาสนี้ ขอให้ทุกคนทุกภาคส่วนได้มีการกระชับความเข้าใจและประสานความร่วมมือกันและกันให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาประเทศ โดยน้อมนำศาสตร์พระราชา อันได้แก่ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการคิดและปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ รวมทั้งให้มีการขับเคลื่อนประเทศด้วยกลไกประชารัฐ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ที่มุ่งให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ผมขอให้ร่วมกันสร้างความสามัคคี ปรองดอง สร้างบรรยากาศที่สงบและสันติสุขเอื้ออำนวยต่อวาระแห่งชาติที่กำลังจะมาถึง ได้แก่ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่อย่างสมพระเกียรติ รวมทั้งการเตรียมการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ และยุติธรรม ซึ่งแต่ละเหตุการณ์สำคัญเหล่านั้น ก็จะดำรงไปตามครรลองที่เหมาะสม ไม่สมควรที่จะมีผู้ใดจะทำให้เสียบรรยากาศ เสียความรู้สึก เสียความตั้งใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศนี้ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน และการปฏิรูปประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ ก็ด้วยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยมีพี่น้องข้าราชการเป็นแกนกลางของการทำงาน ผมขออัญเชิญพระราโชวาทของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ที่พระราชทานแก่ข้าราชการพลเรือน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน ปีนี้ความว่า งานราชการนั้น คือ งานของแผ่นดินมีผลเกี่ยวเนื่องโดยตรง ถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนทุกคน ดังนั้น ข้าราชการผู้ปฏิบัติบริหารงานของแผ่นดิน จึงต้องทำความเข้าใจถึงความสำคัญในหน้าที่ และความรับผิดชอบของตนให้ถ่องแท้แล้วร่วมกันคิดร่วมกันทำ ด้วยความอุตสาหะ เสียสละ และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยถือประโยชน์ที่จะเกิดจากงานเป็นหลัก งานของแผ่นดินทุกส่วน จักได้ดำเนินก้าวหน้าไปพร้อมกัน และสำเร็จประโยชน์ที่พึงประสงค์ คือ ยังความเจริญมั่นคง ให้เกิดแก่ประเทศชาติ และประชาชนได้แท้จริงและยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ หลากหลายความสำเร็จอันจะเกิดจากการทำงานหนักของข้าราชการตามนโยบายของรัฐบาลและ คสช. ร่วมกับกลไกประชารัฐที่เราได้จัดทำไว้แล้ว ผมขอชื่นชม ขอขอบคุณ ขอให้ทุกคนรักษามาตรฐานการทำงานที่ดีมีธรรมาภิบาลไว้ตลอดไป เช่น 1.หนี้ครัวเรือนของไทยลดลงเป็นครั้งแรก ในรอบ 11 ปี 2.พี่น้องเกษตรกรและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) รองรับ และสร้างความมั่นคงในชีวิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพราะถูกละเลยยาวนาน ไม่อยู่ในกองทุนบำเหน็จบำนาญช้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กสล.) หรือ กองทุนประกันสังคมเช่นที่ผ่านมา 3.ประชาชนทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยได้รับการช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมในการเอาเงินประกันปล่อยตัวชั่วคราว การจ้างทนายความเหล่านี้ เป็นต้น

4.สถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศ ภาพลักษณ์ความโปร่งใส ในสายตานานาชาติดีที่สุด ในรอบ 10 ปี และการเรียกรับสินบนลดลงมากกว่าร้อยละ 50 เทียบกับ 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ให้ลดลงเหลือ 0 ให้จงได้โดยเร็ว ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการให้ได้ สร้างความซื่อสัตย์สุจริตให้ได้ สำหรับกรณีที่มีผู้กระทำความผิดอยู่ในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชันก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับทั้งผู้ให้และผู้รับด้วย

5.ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งผลการดำเนินการมาแล้ว 30 ครั้ง มียอดจำหน่าย และยอดสั่งซื้อสินค้าและผลิตภัณฑ์ กว่า 1,500 ล้านบาท ผมยกให้เป็นต้นแบบนะครับ สำหรับตลาดชุมชน 4.0 ที่มีการค้าออนไลน์ และอี-คอมเมิร์ซ หรือเป็นตลาดประชารัฐที่เป็นสถานที่สำหรับการประสานความร่วมมือ หรือ การจับคู่การเจรจาทางธุรกิจ ตั้งแต่ผู้ผลิตต้นทางไปจนถึงตลาดปลายทางตลอดห่วงโซ่คุณภาพ เป็นแหล่งรวมกิจกรรมในชุมชน ที่ไม่ใช่เป็นเพียงตลาดสด - ตลาดค้าปลีกธรรมดาทั่วไปเหล่านี้เราต้องพัฒนา

สำหรับเดือนเมษายนนี้ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมขยายผลความสำเร็จจากตลาดวิถีไทยชายแดนใต้ กินดี อยู่ได้ เข้าใจกัน ในเดือนที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก มียอดการซื้อขายกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจากตลาดนี้ที่ส่งตรงไปถึงเกษตรกร ชาวประมง ผู้ด้อยโอกาส และ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ตลาดมิติใหม่ชายแดนใต้ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อให้บริการพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ปริมณฑล และนักท่องเที่ยวแล้วตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์และตลอดเดือนเมษายนนี้ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านมาอุดหนุนสินค้าของพี่น้องชาวใต้ และร่วมกิจกรรม งานบุญ ช่วงสงกรานต์ด้วยนะครับ และ

6.การช่วยออกแบบหลักสูตรและการพัฒนาบุคลากรของของ กศน.ให้เป็นวิทยากรประจำศูนย์ดิจิทัลชุมชนกว่า 7,000 ศูนย์ทั่วประเทศ ให้ครบทุกตำบล ซึ่งก็เป็นตัวอย่างของการทำงาน อย่างบูรณาการกันของภาครัฐ พร้อมกับความร่วมมือของภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนงานด้านนโยบายดิจิตอล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ เพื่อช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล และ ส่งเสริมให้ชุมชนเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิตอลที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง คือ โครงการนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในการประกอบธุรกิจของชุมชนในท้องถิ่น กว่า 41,000 ร้านค้า สามารถนำสินค้าไปขาย ในระบบออนไลน์เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการขาย สร้างรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ช่วยนำรายได้ และความมั่งคั่ง ไปสู่ท้องถิ่น อย่างทั่วถึง ซึ่งในระยะต่อไป ก็จะเป็นการมุ่งสร้างความเข้มแข็ง ให้กับเศรษฐกิจฐานราก โดยส่งเสริมเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการในชุมชนท้องถิ่น เพื่อยกระดับผู้ประกอบการในท้องถิ่น อันได้แก่ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอี และ Startup ให้ได้รับการส่งเสริม การนำเทคโนโลยีมาใช้ประกอบธุรกิจ สามารถนำสินค้าเข้าขายผ่านสื่อออนไลน์ได้ แล้วยกระดับ ไปเชื่อมกับตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงต่างๆ และสามารถรวมตัวเป็น ตลาดออนไลน์ ในระดับประเทศได้

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน อาจเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนัก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะกระทบต่อมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นั่นคือ การบริหารจัดการที่ดินของประเทศและการจัดทำผังเมือง ซึ่งพื้นที่ประเทศไทย 300 กว่า ล้านไร่ แบ่งเป็นที่ดินเอกชน 40% และ ที่ดินของรัฐ อีก 60% ภายใต้การกำกับดูแลของหลากหลายหน่วยงานที่มีการจัดทำแผนที่ด้วยมาตรฐาน และ สัดส่วนที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดปัญหา ความไม่สอดคล้อง ไม่ชัดเจน ทับซ้อน พิพาทอ้างสิทธิ์ ไปจนถึงการบุกรุก จนเป็นปัญหาเรื้อรังในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล้มเหลวในการปฏิรูประบบผังเมืองนั้นในอดีตที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล เช่น น้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศ ปี 2554 เกิดความเสียหายในพื้นที่ภาคกลาง และกรุงเทพฯ หลายแสนล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักๆ หลายประการ ได้แก่ 1. การใช้ที่ดินผิดประเภท เช่น การขายที่นา ซึ่งเป็นที่ลุ่ม น้ำท่วมถึง ในราคาถูก เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม 2. การขยายเมือง ขยายกรุงเทพฯ และปริมณฑล ลงพื้นที่ลุ่มน้ำเดิม และขวางทางน้ำธรรมชาติ ขวางการไหลน้ำเหนือไม่ให้ลงสู่ทะเล เป็นการฝืนธรรมชาติ และ 3.ถือว่าสำคัญที่สุด คือ ความผิดพลาด ในการบริหาร 9 กลุ่มลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำใหญ่ 254 ลุ่มน้ำย่อย ประกอบกับการไม่มียุทธศาสตร์ในการตั้งถิ่นฐาน การสร้างเมือง และกระกระจายตัวประชากร ในภาพรวมของประเทศ ทำให้ไม่มีแผนแม่บทสำหรับส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการวางแผนของตนเอง แต่กลับปล่อยให้ขัดแย้งกัน และไร้ทิศทาง ต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการกัน ทั้งหมดในความไม่เข้าใจกัน ประชาชนก็หลายส่วนหลายฝ่าย ก็ต่อต้าน เพราะตนเองก็เกรงกลัวความเดือดร้อนตรงนี้ด้วย ซุึ่งรัฐบาลก็เห็นใจอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาล และคสช. นั้น ได้กำหนดแนวทางแก้ไข ให้เกิดความยั่งยืนคือ คือ 1. เราต้องมีการกำหนดนโยบายการตั้งถิ่นฐาน และการผังเมือง โดยมีหน่วยงานระดับชาติ กำกับดูแล และ ทำงานควบคู่ไปกับสภาพัฒน์ฯ 2.มีกฎหมายเฉพาะเหมือนเป็นธรรมนูญการผังเมือง ในการกำกับกฎหมายอื่นๆ ไม่ให้หน่วยงานต่างๆ ละเมิดหรือปล่อยให้มีการพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่ไม่เป็นไปตามหลักการนี้ เช่น การสร้าง การขยายเมือง ในพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ หรือการใช้พื้นที่รับน้ำทางน้ำธรรมชาติ ผ่านในกิจการอื่น นอกจากการเกษตรกรรม เป็นต้น และ 3.การสร้างกลไกและกระบวนการบริหารจัดการที่ดิน ของประเทศ ที่เชื่อมโยงกัน ทุกระดับ เช่น มีการออกแบบมาตรฐานและเกณฑ์การวางแผนเชิงพื้นที่ ของประเทศ ภาค จังหวัด ท้องถิ่น ในทิศทางเดียวกัน และสอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ด้วย

ข้อมูลที่ผมกล่าวมาเบื้องต้นนี้ เป็นผลการศึกษาของ 1.ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ภูมิสถาปัตยกรรม และ2.คณะกรรมาธิการ การบริหารราชการแผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ในการกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย

ทั้งนี้ นอกจากการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง แล้ว นโยบายของรัฐบาลนี้ ยังนำหลักการดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การปฏิรูปที่ดินของประเทศ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคม ทุกระบบ รวมทั้ง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่งทั่วประเทศ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การสร้างเมืองใหม่ การพัฒนาประเทศ และการกระจายความเจริญต่างๆ มีความสมดุล เป็นมิตรกับธรรมชาติ และกระจายไปสู่เมืองเล็กๆ ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะอยู่แต่ในเมืองใหญ่ แออัด ปัญหาจราจร ปัญหาน้ำเสีย มีปัญหาทั้งหมด เราต้องกระจายความเจริญเหล่านั้นลง ลงไปให้ทั่วประเทศให้ได้ สำหรับการแก้ไขปัญหาเดิมนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ยาก หากไม่ได้รับความร่วมมือ จากพี่น้องประชาชน เช่น การรื้อถอน การย้ายที่ ออกจากพื้นที่บุกรุก หรือจัดระเบียบพื้นที่ใหม่ทั้งหมด หากไม่ยินยอม มันก็ทำไม่ได้ ทุกคนเรียกร้องแต่ไม่ยินยอม มันก็ทำไม่ได้ การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ก็ไม่เกิด เพราะเราได้ปล่อยให้สิทธิ์ส่วนบุคคล อยู่เหนือสิทธิส่วนรวม ใช่หรือไม่ หากพี่น้องประชาชนอยากให้รัฐบาลแก้ไข ก็ต้องแสดงความจำนง ร่วมมือช่วยกันแก้ไข แก้ปัญหา รัฐบาลจึงจะหาวิธีแก้ไข เฉพาะผู้ที่เดือดร้อนได้ วันนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราทุกคนจะต้องร่วมมือกัน นำสิ่งที่ถูกที่ควร เข้าร่องเข้ารอย ทั้ง รัฐบาล คสช. ข้าราชการ ภาคธุรกิจ ประชาชน และทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ร่วมกันมองอนาคตร่วมกัน เพื่อลูกหลานในภายหน้า

พี่น้องประชาชนที่รัก ในวันพุธที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภามาครับ ซึ่งถือเป็นการประชุมระดับนโยบาย ครั้งแรก ภายหลังจากที่คณะทำงานต่างๆ ได้เตรียมการ เตรียมข้อมูล สำหรับการตกลงใจ ในระดับชาติ เพื่อขับเคลื่อนให้ EEC สามารถดำเนินการไปได้อย่างต้องการฃตามกำหนดและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ผมเคยพูดถึงการพัฒนา EEC มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และมองว่าจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ ที่ส่งเสริมให้เกิดการสร้างฐานการลงทุน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสำคัญ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจ และจะเอื้อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพการผลิตซึ่งก็จะถือเป็นการสร้างอนาคตให้กับประเทศและลูกหลานของเรานั่นเอง ครับ นอกจากการพัฒนา EEC จะช่วยสนับสนุนกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่โดยตรง ทำให้เกิดการจ้างงาน การพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่ และชุมชนแล้ว เป็นการเตรียมการอนาคต ให้กับคนทั้งประเทศอันจะยังให้ประโยชน์กับภูมิภาคอื่นๆ ด้วย

ประการแรก พื้นที่นี้ ถือเป็นระเบียงเศรษฐกิจ ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในเมืองกรุงและเมื่อกรุงเทพฯ ผนึกรวมกับ EEC แล้ว พื้นที่นี้ จะกลายเป็นมหานครที่น่าอยู่ อย่างเต็มภาคภูมิ สามารถที่จะกระจายความเจริญ นำความได้เปรียบของพื้นที่ต่างๆ มาใช้อย่างเหมาะสมด้วย การประชุมครั้งนี้นั้นให้ความสำคัญกับการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเดิมให้เป็นเมืองแห่งการบินภาคตะวันออก ที่จะมี 2 ทางวิ่ง และคาดว่าจะรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุกๆ 5 ปี จาก 15 ล้านคน เป็น 30 และ 60 ล้านคน ในอีก 15 ปีข้างหน้า เพื่อจะผ่อนบรรเทาความคับคั่งของสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิลง ขยายความสามารถในการให้บริการทางการบินของประเทศ รวมทั้งเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับเศรษฐกิจไทย และจะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาใหม่ของประเทศที่จะเชื่อมโยงกับซีแอลเอ็มวีอาเซียน และเอเชีย

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินอีก ได้แก่ ศูนย์ซ่อมเครื่องบินล้ำยุค อีคอมเมิร์ซ คลังสินค้า อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน ศูนย์ธุรกิจการค้า และศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบิน และแรงงานฝีมือ สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเพิ่มความสำคัญในภูมิภาคในฐานะศูนย์กลางทางการบินอย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเมื่อสายการบินต่างๆ สามารถให้ประเทศไทยเป็นทั้งจุดแวะพักเพื่อจะเดินทางต่อ ไปยังประเทศในภูมิภาคแล้ว ยังสามารถเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงได้อีกด้วย ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ และยกระดับบทบาท รวมถึงความสำคัญของไทยในภูมิภาคได้ยิ่งขึ้นด้วย เพื่อจะเติมเต็มนโยบายคลัสเตอร์ของรัฐบาลดังกล่าว คณะกรรมการนโยบายได้เห็นชอบให้มีรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก เชื่อมทั้ง 3 สนามบินหลักของไทยแบบไร้รอยต่อ โดยผู้โดยสารไม่ต้องเปลี่ยนสถานี ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถ และใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงสนามบินอู่ตะเภาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ซึ่งจะถือเป็นการเชื่อมโยงพื้นที่ได้ในหลายมิติ เพื่อจะรองรับการขนส่งทั้งคน และสิ่งของได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

สนามบินอู่ตะเภาจึงถือเป็นโครงการ เปรียบเสมือนหัวหอกที่สำคัญ ภายใต้การดำเนินการนโยบายเชิงรุกไปสู่อนาคตของประเทศที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาได้มีความก้าวหน้าในการเร่งรัด และผลักดันอีอีซีไปแล้วมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่า 1.การร่วมทุนกับเอกชนสำหรับโครงการสำคัญในอีอีซีนั้นรวดเร็วขึ้น สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 8-10 เดือน จากเดิม 14 เดือน

2.การมีเขตปลอดอากร และปลอดเอกสารระดับนานาชาติตาม พ.ร.บ.ศุลกากรใหม่ เพื่อจะทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว เป็นธรรม เทียบกับปลอดอากรชั้นนำทั่วโลก

3.การชักจูงผู้ลงทุนรายสำคัญใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งโครงการไบโออีโคโนมี รถยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ ศูนย์การแพทย์ที่มีผู้สนใจทั้งไทยและต่างประเทศ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งบริษัทลาซาด้าของอาลีบาบา กำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำข้อเสนอ เพื่อจัดตั้งสวนการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การสร้างความยั่งยืนกับการพัฒนานี้ รัฐบาลมองว่าเราต้องมีการพัฒนาเขตนวัตกรรมอีอีซีไอ และเขตนวัตกรรมดิจิทัลอีอีซีดี ภายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนี้ด้วย ประกอบไปด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับโลก เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมไอเทคเฉพาะด้าน รวมทั้งศูนย์ฝึกอบรมและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับสากล เป็นต้น

ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะสร้างสถานที่บ่มเพาะการเรียนรู้ และการสะสมเทคโนโลยีชั้นนำของนักวิชาการไทย และเยาวชนไทย ที่จะช่วยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ของประเทศด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และเทคโนโลยี เราจะต้องยืนบนลำแข้งของตัวเองให้ได้ด้วยนวัตกรรมของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย

ทั้งนี้ อีอีซี และการพัฒนา 10 เขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ต้องพิจารณาถึงเรื่องการใช้พื้นที่ และการวางผังเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งผมได้ย้ำให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ดูแลเรื่องผลกระทบ และผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น และพร้อมรับฟังความคิดเห็นปัญหาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางป้องกัน เยียวยา อย่างรอบคอบ ขอให้ทุกคนได้เข้าใจ และให้ความร่วมมือ มองประโยชน์ส่วนรวม มองผลที่ได้ระยะยาวให้กับลูกหลานท่านในอนาคต

อีกเรื่องที่บางท่านเคยให้ความคิดเห็นว่า ทำไมภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการลงทุน เพื่อพัฒนาอีอีซี หรือการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค ทำไมไม่นำงบประมาณเหล่านี้ทุ่มไปลงทุนด้านอื่น เช่น สร้างโรงพยาบาล หรือช่วยเหลือเกษตรกรให้มากยิ่งขึ้น ผมขอเรียนนะครับ อยากจะทำความเข้าใจว่า ในการจัดทำงบประมาณของประเทศนั้น รัฐบาลต้องคำนึงถึงการให้น้ำหนักการใช้งบประมาณอย่างระมัดระวัง ต้องดูแลให้การใช้งบประมาณนั้น เกิดความสมดุลในการพัฒนาประเทศในทุกภาคส่วน ต้องนำมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ และช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ไม่ใช่แค่เพียงระยะสั้นๆ จะต้องรวมถึงการให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในระยะยาว มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน การสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์เรื่องการจ้างงาน และการรับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตระยะยาว การเป็นศูนย์กลางการบินก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว มีเที่ยวบินมาไทยเพิ่มขึ้น สะดวกขึ้น ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ในการเข้ามาใช้สนามบิน ซึ่งรายได้ของประเทศต้องมาจากการเดินทาง

ในเรื่องของภาคเกษตร หรือด้านสาธารณสุขที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ผมขอรับรองว่า ไม่เคยให้ความสำคัญเหล่านั้นน้อยลงไป แต่รัฐบาลกำลังจะสร้างความสมดุล เพราะการดูแลคนทั้งประเทศนับวันรายจ่ายยิ่งมากขึ้น หากไม่มีการลงทุนเพื่ออนาคตไว้เลย วันข้างหน้าเราจะเอาเงินที่ไหนมาจับจ่ายใช้สอย สร้างสวัสดิการให้พี่น้องประชาชนได้อีกต่อไป วันนี้ระบบสาธารณสุข การรักษาพยาบาล การปรับปรุงสถานพยาบาล การจัดหาเครื่องบินที่ทันสมัยต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก ทุกครัวเรือนเองก็ต้องช่วยกันทำบัญชีครัวเรือนไว้ด้วย เพื่อจะสำรวจรายรับรายจ่ายในปัจจุบันที่ไม่จำเป็น มีการวางแผนอนาคต ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือย ลดหนี้นอกระบบ หรือหนี้อื่นๆ ก็ตาม มองหารายได้เสริมเพื่อจะรองรับภาระในวันข้างหน้าได้อีกด้วย

พี่น้องประชาชนครับ เมื่อท่านอยู่บ้าน พ่อแม่พี่น้องจะดูแลซึ่งกันและกัน เมื่อท่านออกนอกบ้าน รัฐบาลจะต้องดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนทุกคน ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ผลักดันนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิ์ทุกที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายภายใน 72 ชั่วโมง หรือจนพ้นภาวะวิกฤต เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย โดยไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษา และสถานพยาบาลคู่สัญญา พี่น้องประชาชนสามารถสอบถามข้อมูล หรือแจ้งเรื่องฉุกเฉิน ปรึกษาเพื่อขอใช้สิทธิ์ได้ที่สายด่วน 1669

สำหรับมาตรการเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน ที่ผมในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ออกคำสั่งตามมาตรา 44 และเป็นประเด็นในสังคมอยู่ในเวลานี้นั้น ก็เป็นเพียงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เดิม โดยมุ่งหวังที่จะลดอุบัติเหตุ ลดความโศกเศร้าจากการสูญเสีย และลดเรื่องราวสะเทือนใจในห้วงเวลาแห่งความสุข จากการเสนอข่าวที่คอยแต่จะนับตัวเลขอุบัติเหตุ คนเจ็บ คนตาย แต่ไม่ได้เตือนให้ทุกคนเคารพกฎหมาย สร้างความตระหนักรู้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีอะไรดีกว่าการแก้ที่ต้นเหตุ ก็คือการป้องกันตนเอง การรับผิดชอบต่อผู้อื่น ผู้ร่วมทาง และมีจิตสำนึก จิตสาธารณะ หากเราไม่ทำแบบนี้ เราจะมีความสุขได้อย่างไรกัน ต้องช่วยกัน

ทุกคนทราบดีว่าที่ผ่านมาทุกเทศกาลวันหยุดยาว เราจะได้พบเห็นอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นจำนวนมาก หรือแม้กระทั่งในเวลาปกติก็ตาม ซึ่งจะสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ญาติ พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุใหญ่ๆ ที่มีคนเจ็บ คนตายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถตู้ รถกระบะที่มีคนนั่งท้าย เพราะว่าเมาแล้วขับ สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น เจ็บ หรือว่าเสียชีวิต เพราะไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขับรถเร็วเกินไป คึกคะนอง และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้เราจะต้องปล่อยให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ผมเข้าใจดี พี่น้องประชาชนจะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไปเที่ยวตามที่ต่างๆ รวมทั้งการฉลองเทศกาลสงกรานต์ จำนวนมาก ที่ต้องเดินทางโดยรถไฟ รถบัสโดยสาร รถตู้ และ จำนวนมากที่เดินทางด้วยรถส่วนตัว รถปิกอัพ นั่งท้ายบ้าง ไม่นั่งท้ายบ้าง ซึ่งเราคงจะให้ไปนั่งรถทัวร์ หรือรถโดยสาร ทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ในเวลานี้ เพราะว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แล้วก็เวลานี้ประชาชนยังใช้ปิกอัพในการสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก และบางครั้งไปรถโดยสารตั๋วก็เต็ม รอนาน หาไม่ได้ ก็ไม่ได้กลับบ้าน เวลาก็มีน้อย จริงๆ แล้ว ถ้าทุกคนเคารพกฎหมาย กฎจราจร ซึ่งมีบังคับใช้ตามปกติอยู่แล้ว การบาดเจ็บสูญเสียก็จะไม่เกิดขึ้น ไม่ต้องทำกฎหมายอะไรเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะรถอะไร ทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวัง คิดถึงผู้อื่น จะรู้ได้เองว่า ควรจะป้องกันได้อย่างไร อย่าหวังพึ่งกฎหมายอย่างเดียว เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานหนัก เสียสละอยู่แล้ว ไม่เคยได้ไปหยุดในวันนักขัตฤกษ์ต่างๆ เลย ต้องคอยดูแลประชาชนอยู่ตลอดเวลา แล้วท้ายสุดก็ถูกตำหนิ ว่าทำไมมีการบาดเจ็บ สูญเสียมากขึ้นทุกปีๆ

ทั้งนี้ ต้องช่วยกันนะครับ รัฐบาล เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถดูแลได้ทั้งหมด ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันเคารพกฎหมายบ้าง อะไรบ้าง ที่สามารถทำได้มากที่สุด เราก็จะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ ประชาชน ผมเข้าใจนะครับ ถ้าเราบังคับใช้กฎหมายเต็มที่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ก็อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมากเกินไป เจ้าหน้าที่ก็อาจจะต้องอะลุ้มอล่วยให้ในบางส่วน ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงไปแล้ว เช่น เพื่อสร้างวินัยการจราจรที่ถูกต้อง ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่นั่งเบาะหน้า ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตามกฎหมาย แต่จะรวมผู้ที่นั่งเบาะหลังที่ยังไม่มีเข็มขัดนิรภัย ก็เตือนไปก่อน ส่วนผู้โดยสารรถสาธารณะ รถแท็กซี่ รถตู้ รถบัส ต้องคาดเข็มขัดทุกที่นั่ง

และรถกระบะ อนุโลมให้นั่งท้ายกระบะได้ ไม่เกิน 6 คน แต่ห้ามนั่งบนขอบ หรือท้ายกระบะ ซึ่งกฎหมายเหล่านี้มีอยู่แล้วทุกตัวในอดีต แต่บังคับใช้ไม่ได้ ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน ก็ค่อยๆ แก้ไขกัน ค่อยๆ ปฏิบัติกัน รัฐบาลเห็นใจทุกคนจริงๆ ไม่ได้ต้องการจะมุ่งหวังบังคับ ละเมิดสิทธิ ทำให้คนจนลำบาก คนรวยไม่มีปัญหา เหล่านี้เป็นการสร้างวาทกรรมให้เกิดความไม่ร่วมมือเกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก็ขอให้ ไม่ว่าจะสื่อ โซเชียลมีเดีย หรือประชาชนที่ยังไม่เข้าใจนั้น ช่วยกรุณาลดระดับลงไปบ้าง ไม่มีอะไรที่มันจะได้มาเปล่าๆ นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิต ทรัพย์สิน มันเสียไปแล้วยากที่จะกลับคืนมา ก็ลองคิดเอา

สิ่งที่ผมเน้นย้ำก็คือ ผู้ขับขี่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุทั้งปวง ต้องไม่ดื่มสุรา ไม่ประมาท ไม่โทร ไม่แชต โทรศัพท์ พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด และรักษาวินัยจราจร ผู้โดยสารควรป้องกันตัวเองด้วยการคาดเข็มขัดนิรภัยทุกคน รถทุกคันบนถนน ทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนบุคคล และรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท ต้องตรวจสภาพให้พร้อมก่อนออกเดินทาง ทั้งนี้ ทุกคนบนถนนมีส่วนรับผิดชอบในความปลอดภัยซึ่งกันและกัน มอเตอร์ไซค์ ผมก็เป็นห่วงนะครับ การสูญเสีย สถิติทุกปี หรือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น การสูญเสียจากรถมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนมาก กับรถตู้ รถโดยสาร ทำนองนี้นะครับ

หลังสงกรานต์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้มีการหารือกันอีกครั้งเพื่อพิจารณาความเหมาะสม รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน ว่าเราจะปรับมาตรการกันอย่างไรให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จะมีห้วงเวลาอย่างไรให้ประชาชนได้มีโอกาสปรับตัว ปรับวิถีการเดินทางบนท้องถนน ซึ่งรัฐบาลจะเร่งรณรงค์สร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องต่อไป

ผมขอให้ทุกคนเดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพ ใช้ความระมัดระวัง มีสติ คิดถึงคนที่อยู่ที่บ้าน และมีความสุขในเทศกาลสงกรานต์ทุกคน รวมทั้งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และอาสาสมัคร ที่เสียสละความสุขส่วนตน และอุทิศเวลาทำงานเพื่อส่วนรวม รวมทั้งครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทุกท่านด้วย อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ เราก็ต้องสร้างความเข้าใจไปเรื่อยๆ เพราะเราก็คือคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น และกฎหมายก็พยายามทำให้ทุกคนอยู่ในกรอบกฎหมายให้มากที่สุด

เรื่องแท็กซี่ รถขนส่งสาธารณะ ก็ควรจะต้องเร่งปรับปรุงตัวเองด้วย มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายกับผู้รับบริการ ขอให้ทำด้วยใจ ด้วยหน้าที่ โดยอาชีพอันสุจริตของท่านอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความรับผิดชอบ และมีน้ำใจต่อกัน

สุดท้ายนี้ เนื่องจากวันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็นวันสงกรานต์ และวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ส่วนวันที่ 14 เมษายน เป็นวันครอบครัว ผมอยากให้โอกาสที่พี่น้องประชาชนจะได้รวมญาติ รวมครอบครัว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบุพการี รดน้ำดำหัว ขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น ความสุขร่วมกันของครอบครัว ตามประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทย

สำหรับการละเล่นสงกรานต์นั้น ก็ขอให้พิจารณาความเหมาะสม ไม่คะนอง ไม่อนาจาร และช่วยกันประหยัดน้ำด้วยนะครับ

วันที่ 7 เมษายน เป็นวันที่องค์การอนามัยโลกรณรงค์ให้ชาวโลกเห็นความสำคัญของโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพประชาชนทั่วโลก มากกว่า 300 ล้านคน เป็นโรคซึมเศร้า และเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย สำหรับประเทศไทย ร้อยละ 3 ของประชากรเป็นโรคนี้ โดยอาจจะไม่รู้ตัว และคนรอบข้างขาดความตระหนักรู้ หรือไม่เข้าใจ แต่โรคนี้ป้องกันได้ รักษาให้หายได้ เพียงเราทุกคนดูแลซึ่งกันและกัน เราจะได้ไม่สูญเสียคนที่เรารัก และในช่วงที่อากาศร้อน เดือนเมษายนนี้ ผมอยากให้ทุกคนใจเย็น ใช้สติ และรู้จักการให้อภัยกัน การพบปะพูดคุยกันในครอบครัว ในสังคม จะช่วยลดภาวะเหล่านี้ได้ โดยการพูดคุยกันด้วยมิตรไมตรี มีน้ำใจที่หยิบยื่นให้แก่กัน จะทำให้พบทางออกที่ถูกต้องที่ควรได้เสมอ

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเทศกาลสงกรานต์ ขอให้ทุกคนขับขี่รถโดยไม่ประมาท มีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร รัฐบาลต้องขอโทษนะครับที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจของพี่น้องประชาชนในการใช้รถใช้ถนน แต่ทั้งนี้ก็ด้วยความห่วงใยจากใจพวกเราทุกคนนะครับ ขอให้ทุกคนมีสวัสดิภาพ ปลอดภัยจากการเดินทาง ไม่ว่าจะไปทำอะไรก็ตาม ขอให้มีความสุขทั้งครอบครัวและคนอื่นด้วย สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น