หนังสือพิมพ์ เดอะวอชิงตันโพสต์ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โยกย้ายนายสตีฟ แบนนอน ออกจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ ในสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นการทบทวนการตัดสินใจเมื่อต้นปีที่ให้อำนาจแก่ที่ปรึกษาทางการเมืองมีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง จนทำให้นายแบนนอน ถูกจับตามองว่า เป็นผู้มีอำนาจเป็นอันดับ 2 ในทำเนียบขาว รองจากประธานาธิบดีทรัมป์เท่านั้น
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายภายในเอ็นเอสซีอีกหลายตำแหน่ง เพื่อให้เอ็นเอสซีกลับไปทำหน้าที่หลักตามเป้าหมายของการจัดตั้งหน่วยงาน
ด้านนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า แม้นายแบนนอน จะไม่มีตำแหน่งในเอ็นเอสซีแล้ว แต่เขาก็ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอยู่เช่นเดิม และการแต่งตั้งนายแบนนอนเข้าไปทำงานในเอ็นเอสซี เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจแก้ไขปัญหาบางประการ ซึ่งเวลานี้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากให้ความเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ออกนโยบาย และประกาศคำสั่งหลายฉบับที่สร้างความสับสน มีการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารหลายหน่วยงาน ขณะที่นายแบนนอนก็ไม่มีความชำนาญเรื่องนโยบายการต่างประเทศ และเมื่อไม่มีนาย ไมค์ ฟลินน์ ที่ต้องลาออกไปเพราะถูกวิจารณ์เรื่องติดต่อกับเอกอัครราชทูตรัสเซียก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะรับตำแหน่ง ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งกรณีซีเรีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายภายในเอ็นเอสซีอีกหลายตำแหน่ง เพื่อให้เอ็นเอสซีกลับไปทำหน้าที่หลักตามเป้าหมายของการจัดตั้งหน่วยงาน
ด้านนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า แม้นายแบนนอน จะไม่มีตำแหน่งในเอ็นเอสซีแล้ว แต่เขาก็ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอยู่เช่นเดิม และการแต่งตั้งนายแบนนอนเข้าไปทำงานในเอ็นเอสซี เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจแก้ไขปัญหาบางประการ ซึ่งเวลานี้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากให้ความเห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ออกนโยบาย และประกาศคำสั่งหลายฉบับที่สร้างความสับสน มีการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารหลายหน่วยงาน ขณะที่นายแบนนอนก็ไม่มีความชำนาญเรื่องนโยบายการต่างประเทศ และเมื่อไม่มีนาย ไมค์ ฟลินน์ ที่ต้องลาออกไปเพราะถูกวิจารณ์เรื่องติดต่อกับเอกอัครราชทูตรัสเซียก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะรับตำแหน่ง ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งกรณีซีเรีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน