..
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ก็มีข่าวที่น่ายินดีของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา อันได้แก่ การคว้าตำแหน่งแชมป์มวยโลก WBC รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวตของศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ซึ่งก็เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศ และสร้างความสุขให้กับคนไทยด้วย ผมขอแสดงความยินดี ขอยกย่องความมุ่งมั่น ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลกได้ในที่สุด สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคงต้องอาศัยความมุมานะฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งสำคัญที่สุดก็ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อนด้วยนะครับ จึงอยากให้เยาวชนไทยดูศรีสะเกษเป็นแบบอย่าง แต่สิ่งที่ยากและสำคัญกว่านั้น คือการใช้สติ มีวินัย เพื่อการรักษาแชมป์ อยู่ในตำแหน่งอย่างสมศักดิ์ศรี คนไทยทุกคน ก็ต้องเป็นกำลังใจให้นะครับ ทุกนักกีฬาของเราที่ไปแข่งขันที่ต่างประเทศ
อีกความสุขของคนไทยก็คือการ รายงานของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDSN ภายใต้องค์การสหประชาชาติที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสุขอยู่ในอันดับที่ 32 จาก 155 ประเทศทั่วโลก ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่ผ่านมาก็อยากให้ประชาชนร่วมภาคภูมิใจนะครับ บนบรรไดสู่ความสำเร็จนั้น เราค่อย ๆ ก้าวมาทีละขั้น ค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคงและมันจะเป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ดีในสายตานานาอารยประเทศ อะไรที่ดีก็ช่วยกันรักษานะครับ อย่าทำลายกัน อย่าบิดเบือนกัน แล้วพัฒนากันให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าสร้างการรับรู้ผิด ๆ ให้กับสังคม สิ่งใดที่ยังบกพร่อง ต้องใช้เวลา ก็ต้องช่วยกันแก้ไขกันต่อไป ทั้งนี้ เพื่อลูกหลานของเราในอนาคตด้วย
อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญมาตลอด ก็คือ การแก้ปัญหาขยะที่ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และก็อยู่ในความสนใจของประชาคมโลกเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ที่เป็นเทคโนโลยีของคนไทยพัฒนาใช้เอง และดำเนินการจนเห็นผลแล้วหลายพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2559 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยอย่างเป็นรูปธรรม และรับรองผลได้เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเราไม่ช่วยกัน หรือว่าเคยกำจัดขยะกันด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือเดินระบบไม่ได้จริง แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สิ่งปฏิกูล ครั้งนี้ รัฐบาลก็ได้บูรณาการ 5 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์ที่เป็นการสนองตอบรัฐบาลได้ที่เป็นนโยบาย 4 ข้อด้วยกัน
นโยบายแรกก็คือ การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำขยะมาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมหรือผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในปี 60 นี้ การบริหารจัดการขยะ จะต้องมีความก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด
นโยบายที่ 2 ก็คือการส่งเสริมบัญชีนวัตกรรมไทยที่เป็นหนึ่งในกลไกภาครัฐ ในการเชื่อมโยงระหว่างผลงานวิจัย ที่ สกว. และกระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนการพัฒนาต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นนวัตกรรมไทย เพื่อนำมาผลิตสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งเทคนิคการกำจัดขยะนี้ได้นำเทคโนโลยีระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มาพัฒนาต่อยอด เราจะไม่ปล่อยให้งานวิจัยดี ๆ ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นหิ้ง เราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างระบบ Start Up แล้วก็ให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตรวจสอบและรับรองเทคโนโลยี จากนั้นให้กระทรวงการคลังกำหนดราคากลางให้ชัดเจน รับรองเทคนิค รับรองราคา โดยภาครัฐจะต้องตัดวงจรทุจริตในการประมูล ฮั้วประมูลออกไปให้ได้ ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการงานวิชาการกับงานด้านปฏิบัติเป็นอย่างดี
นโยบายที่ 3 ก็คือกลไกประชารัฐ ที่ภาควิชาการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ภาครัฐ สนับสนุนงบประมาณ และชุมชนท้องถิ่น นำไปสร้างระบบเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และ SCG ลงนาม MOU รับซื้อระบบกำจัดขยะนี้ทั้งหมดที่ผลิตได้โดยนวัตกรรมไทย ขอบคุณนะครับ เป็นการสร้างความเข้มแข็ง และมั่นคงที่ยังยืนให้กับชุมชน ไม่ใช่แต่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ
นโยบายที่ 4 ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ ถือเป็นการนำเอานวัตกรรมมาปรับใช้ในการใช้ ในการใช้ชีวิตประจำวัน และดูแลสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนให้นวัตกรรมไทย ขายได้ ปลุกพลังนักวิจัยไทยให้ค้นคว้าเพื่อพัฒนาประเทศ และช่วยสะท้อนว่า ไทยแลนด์ 4.0 นั้น เกี่ยวข้องกับทุกด้านของการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ก็คงไม่ใช่เฉพาะเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นนะครับ
นอกจากการสร้างระบบกำจัดขยะนี้จะสอดคล้องกับมาตรการในประเทศของรัฐบาลแล้ว ยังสามารถตอบโจทย์นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลกอีก 2 ด้าน ก็คือ
1. การช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากบ่อขยะ ที่เป็นบ่อเกิดของก๊าซมีเทน สาเหตุของภาวะโลกร้อน และ 2.การสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทำให้พี่น้องประชาชนกินดีอยู่ดี ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศ เป็นการประหยัดทรัพยากร ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ผมขอชมเชยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ประยุกต์นโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ อย่างบูรณาการ ก็ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก ผมขอยืนยันนะครับว่ารัฐบาลและ คสช. จะพยายามสะสางปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน เพื่อนำพาประเทศของเราสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้จงได้
พี่น้องประชาชนครับ ปัญหาสำคัญและอุปสรรคของประเทศไทยก็ยังมีอยู่หลายประการ ผมเคยกล่าวมาหลายครั้ง วันนี้ก็ขอหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะสร้างความตระหนักรู้ และขอความร่วมมือในการแก้ไขช่วยกันนะคับ เดินไปด้วยกัน ดังนี้
เรื่องที่ 1. การจัดทำผังเมือง ซึ่งก็ยังเป็นปัญหาที่เกิดจากการปล่อยปละในอดีต ส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน เนื่องจากการเข้ามายึดครองพื้นที่ ที่ไม่เป็นไปตามผังเมือง การประกอบการใดๆ ก็ตาม ส่งผลกระทบทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมือง แล้วก็กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ ทำให้เกิดน้ำท่วม เมื่อการจัดผังเมืองที่เราทำไปแล้ว ดำเนินการไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็มีผลไปถึงการปฏิรูปที่ดินต่างๆ อีกด้วย ซ้ำเติมด้วยปัญหาการบุกรุก แล้วก็ไม่ยอมออกเมื่อมีการใช้กฎหมาย ประชาชนไม่ยินยอมให้ดำเนินการใดๆ ก็สาเหตุอาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจ หรือถูกบิดเบือนจนเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งถูกผลักให้เป็นนอมินีของบรรดานายทุนที่ไม่หวังดี
ในส่วนนี้ รัฐบาลได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่าการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1 ใน 6 ยุทธศาสตร์ของเรา 20 ปี เพื่อจะแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาแต่ละเรื่องนั้น เราจะหลีกเลี่ยงผลกระทบเลยคงไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีผลกระทบบ้าง เพราะว่าเราละเมิด ละเลยกันมา ปล่อยปละละเลยกันมายาวนาน แต่ผมยืนยันว่า การกระทำใดๆ ก็ตามนั้น เราเน้นในเรื่องของการที่มีส่วนร่วม ส่วนรวมจะต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน มีผู้เสียผลประโยชน์ในเบื้องต้น ให้น้อยที่สุด แล้วก็จะได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม ได้ผลประโยชน์กลับคืนมาในภายหลังด้วย
อีกเรื่องก็คือปัญหาทางเทคนิค มีการใช้แผนที่หลายอย่างด้วยกัน หลายหน่วยงานด้วยกัน อาจเป็นแผนที่ที่ไม่ตรงกัน มาตราส่วนอาจจะไม่ตรงกัน คงไม่ใช่ไม่ถูกต้องนะ เพราะแผนที่ทำหลายครั้ง และห้วงระยะเวลาในการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นอาจจะไม่ตรงกัน บางอย่าง บางพื้นที่ก็ทำใหม่ บางพื้นที่ก็ใช้แผนที่เก่า อะไรทำนองนี้ วันนี้เราก็ต้องปัญหาตรงนี้ให้ได้ ก็จะทำยังไงไม่ให้เกิดความทับซ้อน หรือเกิดช่องว่างระหว่างแผนที่ที่ไม่ตรงกัน ไม่ทันสมัย มีการทับซ้อน มีช่องว่าง เหล่านี้เป็นบ่อเกิดของการทุจริต พื้นที่จริงกับในแผนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันนี้ รัฐบาลก็พยายามหาทางแก้อยู่ ก็ได้พยายามเร่งดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ที่มีมาตราส่วนเดียวกัน คือ 1 ต่อ 4,000 ที่เรียกว่า One Map ไม่ได้หมายความว่าเอาอันนี้มาใช้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเป็นพื้นฐาน เมื่อเป็นพื้นฐานออกมาแล้ว ก็เอาแผนที่ของแต่ละหน่วยงานออกมาเทียบดู มีช่องว่าง มีจุดที่เหลื่อมล้ำตรงไหนก็ไปแก้ปัญหากันตรงนั้น ให้ตรงจุด ก็จะเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหา แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการที่จะปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์เหมือนกัน ใน 6 ข้อ 6 ยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาในอดีตอย่างยั่งยืน
เรื่องที่ 2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมร่วมกัน ทำให้ทุกอย่างให้เป็นการถูกกฎหมาย ถูกต้อง แข่งขันเสรี มีการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส แล้วก็ไม่ให้เกิดพัวพันไปถึงเรื่องการทุจริต ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นปัญหาของประเทศ มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้วนะครับ ติดขัด ทำอะไรไม่ได้มากนักในการพัฒนาขนาดใหญ่ รัฐบาลนี้ก็ได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เช่นกัน เราจะมุ่งมั่นแก้ไขให้ได้ในเร็ว
ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมาย และการป้องกันสังคมของเรานั้นให้ปราศจากคอร์รัปชั่น ผมเห็นว่าเราต้องไม่ปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานตรวจสอบต่าง ๆ องกรอิสระเท่านั้น ต้องเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน ที่ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะว่ามีผลเสียตกที่พวกเราทุกคน คือผู้ได้รับประโยชน์ก็คือคนไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นทั้งผู้ให้ผู้รับทั้งฝ่ายรัฐผู้ประกอบการ เราต้องร่วมมือกันนะ ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วก็เปลี่ยนผ่านตรงนี้ไปให้ได้ ไม่อยากให้โทษกันไป โทษกันมา องค์กรอิสระ หน่วยงานตรวจสอบก็มีหน้าที่ตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ให้ได้ข้อยุติออกมาก็เป็นไปตามนั้น เรื่องการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สร้างความมั่งคั่งของชาติ ในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน นี่ก็เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งใน 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งในส่วนของการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตนั้น ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ และต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องในระยะยาว
ที่ผ่านนั้นเราค่อยๆ แก้ปัญหามาทีละเปลาะ ทีละเปลาะ หลายอย่างด้วยกัน ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้อย่าทุจริตนะ แล้วจะแก้ได้เลย ไม่ได้หรอกครับ ต้องดูกฎหมาย ช่องโหว่กฎหมาย มาตรการ ราคากลาง การจัดซื้อจัดจ้าง วิธีการต่างๆ มากมายทั้งหมด ต้องค่อยๆ แกะๆ ออกมา แล้วค่อยๆ แก้ วันนี้ก็แก้ไปเยอะแล้วอาจยังไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะได้ 100 เปอร์เซ็นต์เพราะทุกคนต้องช่วยกันดูแล แล้วก็แจ้งกันมาตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ลุกลามบานปลายไปถึงตอนท้าย เสียหายมากขึ้น ต้องทำ ทำให้ได้มากที่สุด ก็ขอความร่วมมือทั้งฝ่ายข้าราชการ รัฐ ผู้ประกอบการ ประชาชน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ต้องทำให้ได้มากที่สุด เริ่มกันวันนี้ วันหน้าก็จะเรียบร้อย แล้วประสบผลสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ทุกคนต้องการ แล้วก็ข้อสำคัญ อะไรก็ตามที่ทำได้แล้วอย่าปล่อยให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การปลุกจิตสำนึก เราต้องการให้พี่น้องประชาชนลูกหลาน ซึ่งก็จำเป็นอย่างยิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์
อีกข้อก็คือในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของประเทศอีกด้วย ในเรื่องนี้ ต้องขอความร่วมมือกับบรรดา NGO ทั้งหลาย ทั้งที่หวังดีหรืออาจจะไม่เข้าใจ ช่วยกันดูในเรื่องการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งต้องรักษาให้สมดุลกับการรักษาทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ถ้าอันใดอันหนึ่งไม่สมดุลกันก็ไปไม่ได้ทั้งคู่ แล้วก็รักษาไม่ได้ทั้งสองอย่าง แล้วก็ประชาชนก็ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในทุกมิติ
เห็นไหมครับว่ายุทธศาสตร์ที่ยกตัวอย่างไปนี่ 3-4 ยุทธศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของ 6 ยุทธศาสตร์หลัก 20 ปี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย เป็นหัวข้อยุทธศาสตร์กว้าง ๆ คราวนี้ทุกรัฐบาลก็ต้องไปคิดกิจกรรมมาว่าจะทำอะไร แก้ปัญหาขยะ แก้ยังไง จะพัฒนาคน พัฒนาเรื่องอะไรบ้าง ก็ไปเขียนกันมาไปทำโครงการกันมา แล้ววันหน้าก็บริหารกิจกรรมแบบเชิงยุทธศาสตร์ ก็เดินหน้าไปได้ ไม่ใช่ทำงานด้วยพันธะกิจอย่างเดียว หรือตั้ง Area Base อย่างเดียว ก็ไม่เกิดความเชื่อมโยงไง จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์นะครับ แล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อสถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
เรื่องที่ 3. เรื่องการศึกษา ผมย้ำหลายครั้งแล้ว สำคัญที่สุด เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นี่นะครับ การขาดหลักคิด ไม่ใช่คิดเป็น แต่ไม่มีหลักในการคิดที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีศีลธรรม มีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าคิดแบบอะไรก็ได้ ก็อาจจะมีทั้งถูกทั้งผิด เพราะจะเป็นต้นตอของทุกปัญหา ถ้าเรามีหลักที่ถูกต้อง แล้วก็ปรับหลักคิดให้สอดคล้องต้องกัน รับฟัง ปรึกษาหารือกัน ก็จะไปได้เร็วนะ สำหรับการพัฒนาประเทศ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังทุ่มเทอย่างมาก ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถึงมีผลสำเร็จมาโดยตลอด ของเราต้องเร่งดำเนินการให้มีคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ถ้าเรายังติดอยู่กับหลักคิดที่แย่ ๆ ไม่เท่ากัน ไม่เป็นพื้นฐานอันเดียวกัน หลักคิดพวกนี้ไม่ได้คิดเหมือน เขาเรียกว่าคิดในทางที่ดีนะ ไม่ใช่คิดในทางที่อะไรก็ได้ คิดเป็นอย่างเดียวไม่ได้
อาจจะมีการคิดโดยผู้ประสงค์ร้ายก็มีต่อประเทศชาติ หรือด้วยหวังอำนาจ ผลประโยชน์ เห็นแก่ตัว ที่อาจจะคิดง่ายๆ ว่า คนไม่มีการศึกษา หรือคนมีรายได้น้อยเขาจะปกครองได้ง่ายคือ ครอบครองได้ง่ายทำนองนั้น คงมีการคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ก็เลยไม่อยากจะพัฒนาให้เขาคิดรู้คิด มีหลักคิดไม่ต้องการ ไม่สร้างโอกาสให้เขา เพราะเดี๋ยวมันจะปกครองยาก รัฐบาลนี้ต้องการให้ทุกคนคิดเป็นทั้งหมด
เพราะฉะนั้นหลายอย่างติดขัด อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เชื่อใจกันเอง หลายครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์ จากความไม่รู้ของเรานั้นให้เป็นประโยชน์กับเขาด้วย รัฐบาลนี้มุ่งเน้นการน้อมนำศาสตร์พระราชาทุกแขนงในการที่จะพัฒนาคน พัฒนาประชากรของประเทศ ได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในเรื่องของการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพคน เป็นพื้นฐาน เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์อื่นๆ อีกด้วย สำคัญที่สุดใน 6 ยุทธศาสตร์นั่นแหละ
เรื่องที่ 4.ปัญหาเศรษฐกิจได้มีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรามีปัญหา มีปัญหา มีหน่วยเศรษฐกิจหลายอย่าง หลายขนาด ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอี ที่ผ่านมามีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันน้อยมาก ต่างคนต่างทำเพื่อจะสนับสนุนของตัวเอง แต่ไม่มีความเชื่อมโยงต่อกัน
เพราะฉะนั้นมูลค่าก็ไม่เกิดในภาพรวม มันไม่เพิ่มเป็นแมส เป็นจำนวนขนาดใหญ่ขึ้นมา บางทีภาครัฐกำหนดนโยบายออกมารัฐคิดไปทาง ภาคเอกชนคิดไปอีกทางหนึ่ง ไม่สนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันควรเจอกันตรงกลางให้เป็นแบบวินๆ ที่ว่าทั้งสองทาง รัฐก็ได้ ประเทศชาติก็ได้ ผู้ประกอบการก็ได้ ประชาชนก็ได้ ทุกคนได้หมด เราจะต้องคิดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องเศรษฐกิจ และเดินหน้าต่อไปให้ได้ ต้องติดตามให้รู้เท่าทัน อีกทั้งกฎหมายซึ่งจะเป็นกฎเกณฑ์เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้กับทุกฝ่ายได้มีการดำเนินทุกกิจกรรมด้วยความโปร่งใส เท่าเทียมในตลาดการค้าเสรี บางอย่างนั้นอาจจะยังไม่ทันสมัยไม่ทันโลก ไม่ทันเทคโนโลยี มันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการทางธุรกิจ ทำให้เกิดช่องว่าง ทำให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอุดมการณ์ นักลงทุน ผู้ประกอบการที่ไม่ดี แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว หรือมีการตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ส่วนรวม หากทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่รัดกุม เป็นสากลโปร่งใสทุกขั้นตอน เกื้อกูลทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน อย่างที่รัฐบาลนี้พยายามทำอยู่ มันไม่น่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ใคร เป็นการเฉพาะหากยึดถือผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง บางทีก็กล่าวอ้างกันไปกันมาว่ากฎหมายนี้เพื่อคนนี้เพื่อคนนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย ลองไปดูให้ดี เศรษฐกิจของประเทศประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะเรียกว่าข้ามชาติด้วย การลงทุนทั้งในประเทศของคนไทยด้วยกัน หรือจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน หรือเราไปลงทุนที่ต่างประเทศ การประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ หรือร้านค้าขายอิสระทั้งหมดเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาไปพร้อมๆ กัน มันจะต้องเกื้อกูลกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีรายได้น้อย เพราะส่วนใหญ่มันมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้นส่วนน้อยก็ทำมากก็ได้น้อยไง เพราะฉะนั้นเราต้องทำทั้งหมดให้เชื่อมโยงกันให้ได้ เรากำลังทำอยู่ มันไม่ได้แก้กันได้ง่ายๆ แบบนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนกันอีกเรื่องเศรษฐกิจแบบนี้ มันอันตราย รัฐบาลนี้ก็มีหน้าที่อำนวยความสะดวกทางด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาต่างๆ แล้วในเรื่องของการคมนาคมขนส่ง ระบบสารสนเทศก็ทำตัวเหมือนเป็นสะพานเชื่อมโยง สร้างห่วงโซ่ในวงจรเศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศเอง และไปยังต่างประเทศ เราต้องสร้างบรรยากาศภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ที่ดี มีผลต่อความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความมั่นคงในการค้าการลงทุน ทุกคนเขาต้องวางแผนหมดในการใช้จ่าย ใช้เงินทุน ถ้าเขาไม่เชื่อมั่นเขาก็ไปกู้เงินไม่ได้ กู้เงินไม่ได้ก็ลงทุนไม่ได้ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา เราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในประเทศเราให้ได้ อย่าทำลายกันอีกเลย ว่ากันไป ว่ากันมา ผลกระทบก็ออกไปข้างนอก มีอะไรก็มาบอกกัน มาแก้ไขกัน ถ้าเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์เราก็ทำให้หมด เว้นแต่เจตนาไม่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตรงไหนมันบกพร่อง มันจะส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มเป็นห่วงโซ่ อะไรดีก็ไปดีกันทุกกลุ่ม ถ้าเสียก็เสียทุกกลุ่ม
อยากให้ทุกคนนั้นได้มองตรงนี้ เข้าใจตรงนี้แล้วร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลไกประชารัฐที่เริ่มมาหลายจังหวัด และทุกจังหวัดก็กำลังเดินหน้าไปอยู่ ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วทุกคนทราบดี นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ คงจะต้องหวังกำไรให้มากที่สุด เพื่อจะคืนให้ผู้ถือหุ้นด้วย หรือนักลงทุน ในขณะที่ประชาชนต้องการของถูกที่สุด มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถูกที่สุดซึ่งเป็นความต้องการอะไรที่ตรงกันข้ามอยู่แล้ว แต่หากทุกคนเห็นอกเห็นใจกันเข้าใจกัน รัฐเข้ามาดูแลให้ความเป็นธรรม แต่ทุกอย่างมันบังคับมากไม่ได้ ถ้าเขาทำถูกกฎหมาย เขาว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาจะช่วยเราได้ก็คือว่า ผู้ประกอบการต้องนึกถึงว่า คนของเรามันจะใช้ได้ มีเงินซื้อของเขาหรือเปล่า หรือจะผลิตไปเพื่อต่างประเทศอย่างเดียว ต้องคิดตรงนี้ว่าผลิตอะไรออกมาต้องมุ่งหวังให้คนไทยนี่ใช้ของคนไทยที่ผลิตออกมาเอง แล้วราคาถูกลง ถ้าเราเห็นอกเห็นใจกันแบบนี้ ช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันคิด ร่วมมือกันทำ เราก็จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราพูดกันหลายครั้งแล้ว รัฐบาลพร้อมที่จะหามาตรการอื่นๆ ที่สำคัญๆ มาสนับสนุน และแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐคือ ตัวข้าราชการ แล้วก็ฝ่ายประชาชน ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ทั้งหมดอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีความพยายามในการรักษาความเป็นธรรม และสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนด้วย 3 มาตรการหลักดังนี้ คือ
1.การดูแลราคาสินค้า ได้มีการออกตรวจสอบราคาสินค้าในตลาดสด ห้างค้าปลีก และร้านค้าปลีกประจำ เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค อันนี้ เราพอจะควบคุมได้บ้าง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้า และตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัดสินค้า ให้ได้มาตรฐาน และเที่ยงตรงอยู่เสมอ มีกฎหมายนี้
อันที่ 2.การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกรก็ทำผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ วันนี้ร้านธงฟ้าทันสมัยมาก อยู่ในพื้นที่เองก็เหมือนกับห้างร้านทั่วๆ ไป มีความทันสมัย มีสินค้าที่จำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เข้าไปดูนะครับ มีราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดต่ำกว่าห้างนี่ 15-20% และงานธงฟ้า ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในปีที่แล้ว ก็ประเมินแล้วสามารถลดค่าครองชีพของประชาชนได้ถึง 430 ล้านบาท
แล้วเรื่องที่ 3.คือการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมร้านอาหารหนูณิชย์ ที่เน้นสร้างวัฒนธรรมที่ดีของร้านอาหาร คือจะต้องอร่อย คุณภาพดี สะอาด ประหยัด มีการขายอาหารปรุงสำเร็จในราคาประหยัดไม่เกินจาน หรือชามละ 35 บาท ปัจจุบันนั้นมีร้านหนูณิชย์ที่ว่ากว่า 12,000 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ไหนยังไม่มีคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการต่อไปและในอนาคตเราจะมีการจัดอันดับหนูณิชย์อร่อยติดดาว ที่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหนูณิชย์ เพื่อช่วยค้นหาร้านอาหารหนูณิชย์ทั่วประเทศด้วย
เรื่องที่ 5.บทบาทของเอ็นจีโอทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน หากเรายังไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการพัฒนาประเทศของเรา แล้วไม่เข้าใจบทบาทของรัฐคือ คิดเดิมๆ แล้วทำแบบเดิมๆ วันนี้เราเปลี่ยนแปลงมาเยอะแล้ว ในเรื่องของการบริหารจัดการแผ่นดิน ข้าราชการ ระเบียบ กฎหมาย เปลี่ยนแปลงมาเยอะ
เพราะฉะนั้นไม่อยากจะให้มุ่ง แต่ประเด็นในกิจกรรมตนเองเท่านั้น คือจะต้องรักษาให้ได้มากที่สุด จะต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น โดยไม่คำนึงถึงส่วนประกอบของการรักษาในเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือแม้กระทั่งการรักษาสิ่งแวดล้อม คือถ้าเราคิดอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ผูกพันกับเรื่องการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดอะไรที่แบบตกขอบ มองข้ามประเด็นชนส่วนรวม อะไรที่เป็นวาระแห่งชาติ อะไรเพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทย เราจะต้องมีบทบาทร่วมกันในการที่จะช่วยส่งเสริม ช่วยตรวจสอบแก้ผิดให้เป็นถูก หาทางออกร่วมกัน ถ้าโจมตีอย่างเดียว บางอย่างก็เสียหาย ช่วยกันแก้ดีกว่า ไม่เช่นนั้นก็เหมือนอย่างที่บอก ทุกคนฟังเวลาพูดออกไป ต่างประเทศก็ฟังอะไรก็ฟัง บางครั้งก็ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วมันก็ไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ การค้าในที่สุดก็มีปัญหา แล้วท่านมาบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี มันพันไปหมด ไม่ดีตรงไหนก็มาบอกผม ก็แก้ให้หมด
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำตัวกันเป็นจระเข้ขวางคลองเลย หรือไม่ก็ปิดหูปิดตาคัดค้านตลอดเวลา โดยไม่ชั่งน้ำหนัก อย่างที่ผมว่าคือ ทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรีๆ อยากได้อะไรก็ต้องทำเอง รัฐบาลจะช่วยให้เสริมให้ สนับสนุนให้ แต่เราจะทำยังไงให้ได้คุ้มกับที่เสียไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังเมือง เรื่องพลังงาน คุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ถนนหนทาง มันมีปัญหาหมด เพราะว่าเราปล่อยปละละเลย จนกระทั่งประชาชนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ ซึ่งทำให้ทำอะไรไม่ได้ ก็คัดค้านต่อต้านตลอด แล้วก็บอกว่ามีรายได้น้อย แล้วจะให้ทำยังไง เศรษฐกิจดีขึ้นไม่ได้หรอกครับ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันไม่ได้ เราต้องช่วยกันทำให้โครงการที่สำคัญเริ่มโครงการเหล่านี้ไปได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม บางส่วนเสียประโยชน์ก็ต้องช่วยดูแลเขา เยียวยาเขา ท่านไม่ทำอะไรเลยต่อต้านไปแบบนี้รัฐบาลทำไม่ได้ มีโครงการทำไม่ได้ ทุกเรื่องมันเดือดร้อนทีหลัง น้ำท่วม ฝนแล้ง พลังงานไม่พอ แหล่งเก็บกักน้ำก็ไม่เพียงพอ ทำระบบระบายน้ำก็ไม่ได้ ส่งน้ำก็ไม่ได้ แล้ววันหน้ามาโทษรัฐบาลว่ารัฐบาลนี้ รัฐบาล คสช.ไม่ได้ รัฐบาลนี้คิดทุกเรื่อง แล้วเขียนแผนทำโครงการมาทุกเรื่อง มันติดตรงนี้แหละครับ ไปทำตรงไหนก็ติดคนๆ บางที่ก็ไม่ติดคน ติดความคิด ติดความไม่เข้าใจ มันต่อต้านกันอย่างนี้ตลอด แล้วมันจะเกิดได้ยังไง คิด 2 ทางให้ผมบ้าง ขอให้ระลึกเสมอว่า รัฐบาลนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจน มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เปิดเผยทุกโครงการ จะทำอะไรก็บอกก่อนทุกครั้ง คิดแล้วก็บอก คิดแล้วก็แนะนำ คิดแล้วก็สร้างความเข้าใจยังติดขัดเลย ถ้าทำแบบเดิมๆ มันจะยิ่งไปไม่ได้ใหญ่ รัฐบาลนี้คิดอย่างลึกซึ้ง คิดอย่างเชื่อมโยง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง บางอย่างคิดต้นทางก่อน แล้วไปดูปลายทางว่าต้องการอะไร แล้วมาหาวิธีการทำตรงกลางทาง บางอย่างไปเอาปัญหาปลายทางขึ้นมา จากประชาชนขึ้นมา แล้วคิดย้อนกลับมาถึงต้นทาง แล้วเราจะแก้กลับไปยังไง มันต้องคิดแบบนี้สองทาง จากบนลงล่าง ต้นทางไปปลายทาง แต่ตรงกลางทางสำคัญ วันนี้เราอยู่กลางทางอยู่ตรงนี้ไง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหา จะไม่เกิดขึ้นซ้ำซาก เราอยู่กลางทาง
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำเส้นทางตรงนี้ ให้เคลียร์ให้ชัดเจน เดินไปข้างหน้าไปสู่ปลายทาง สิ่งที่เราคาดหวังก็ไม่เกิดขึ้น เราต้องทำให้เกิดความสมดุล และยั่งยืน ขอความกรุณาช่วยกันด้วย ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง มันไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย แต่ส่งผลกระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภค มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ การผลักดันน้ำเค็ม มีผลต่อสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อม หากบริเวณปากอ่าวมีน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในบางช่วงเวลาที่เราต้องการน้ำเป็นปริมาณมาก ในการทำการเกษตร มันทำให้น้ำในการผลักดันน้ำเค็มน้อยลง น้ำเข้ามาลึกเรื่อยๆ ดินก็เค็ม
เพราะฉะนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้ดีที่สุด โดยมีการทำอย่างบูรณาการให้เป็นระบบ เราจะหวังน้ำฝนอย่างเดียว บางทีก็ตกบ้างไม่ตกบ้าง ตกมาก ตกน้อย ตกใต้เขื่อน เหนือเขื่อน บางครั้งเราก็คิดว่าเออไปทำฝนเทียม มันก็ได้แต่เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง บางพื้นที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้ บินไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ฝนก็ไม่ตก ปริมาณความชื้นไม่เพียงพอ ป่าเราน้อยลงนะครับ เหล่านี้มันไม่มั่นคงทั้งสิ้น แล้วจะทำยังไงเราต้องแก้ปัญหาระยะยาวให้ได้ ไม่ใช่แก้ปัญหาระยะสั้นๆ ไปตลอด พอน้ำแล้งก็เอาน้ำไปส่ง พอน้ำท่วมก็ระบายน้ำช่วยเหลือบรรเทาความเสียหาย เราจะต้องบริหารจัดการตั้งแต่ป่าต้นน้ำ ทุกคนต้องช่วยกันดูแล อะไรที่เป็นป่าต้นน้ำ อย่าไปบุกรุก เข้าไปอยู่อาศัย เราต้องช่วยกันปลูกป่าแซม เพิ่มเติมปริมาณต้นไม้ให้มากขึ้น ไม้ยืนต้น เราต้องช่วยเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ถ้าท่านทำผิดกฎหมาย แล้วเจ้าหน้าที่เค้าปล่อยปละละเลย เขาก็ผิด เสร็จแล้ววันหน้าพอจะต้องใช้จริงๆ ขึ้นมา ท่านก็ต่อต้านอีก มันผิดมาตั้งแต่ต้นทาง วันนี้เราต้องไม่ให้มีการบุกรุกป่าเพิ่มขึ้น รักษาที่อยู่นี้ให้ได้ แล้วก็ซ่อมแซมไป ใช้ระยะเวลา เรามีการสร้างฝายชะลอน้ำ เพิ่มเติมแหล่งเก็บกักน้ำ แก้มลิ เขื่อน อย่างที่บอกแล้วมันต้องทำให้ได้ทุกพื้นที่ บางครั้งมันไปไม่ได้เพราะมันติดที่ประชาชนที่ส่วนตัว เหล่านี้ไม่ยอมเสียสละกัน มันก็ไปไม่ได้หมด ฉะนั้นการกระจายของน้ำมันไปทำไม่ได้ ทำให้ไม่สอดคล้องกับการใช้น้ำทั้งสามกลุ่ม เราต้องทำให้เพียงพอ เก็บน้ำให้ได้ บางครั้งเราต้องแลกกับพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมเป็นประจำ แต่ความเสียหายกับสิ่งที่เรารักษาไว้ บุกรุกกันไว้เนี่ย แลกกันไม่คุ้มค่า ผมว่านะ เพราะว่ามันต้องเสียหายไปเรื่อยๆ ท่านก็ต้องย้ายบ้าน ซ่อมบ้านไปตลอด ทุกปีๆ มันคุ้มที่ไหน ถ้าย้ายทีเดียว ไม่ไปขวางทางน้ำ ให้เขาทำทางน้ำ หรือทำระบบส่งน้ำให้ได้ ไปจากบ้าน เสียสละพื้นที่คนละนิดหน่อย มันก็ทำต่อเนื่องได้ มันก็ลงสู่ทะเล หรือลงไปสู่ปลายน้ำ ปลายทางที่คนใช้น้ำได้ทั่วถึง เฉลี่ยให้คนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่ต้นทางของน้ำก็ใช้ทั้งหมดเลย เวลาน้ำน้อย เวลาน้ำเยอะก็รีบปล่อยลงมาข้างล่าง ข้างล่างก็ท่วม มันไม่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลต้องดำเนินการตรงนี้ แต่ประชาชนก็ต้องร่วมมือ เรื่องประสิทธิภาพคูคลอง ทางน้ำ ทั้งธรรมชาติ ทั้งสร้างขึ้น สร้างความเชื่อมโยงให้ได้ ระบบส่งน้ำ ระบายน้ำ อันนี้สำคัญที่สุดเลย เนื่องจากว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม หลายครั้ง ที่ถนน ทั้งรถไฟ หรือว่าชุมชนที่เกิดขึ้นมาใหม่ ไปอยู่กีดขวางลำน้ำเดิมตามธรรมชาติ ผลของการปล่อยปละละเลย แล้วก็ปล่อยให้ประชาชนมีรายได้น้อย จนขยับขยายไม่ได้ เนี่ยมันต้องแก้ตรงนี้ด้วย ถ้าเราไม่วางแผนให้ดี ไม่มีการวางแผนแบบบูรณาการ เช่นในอดีต มันก็จะเกิดปัญหามาถึงปัจจุบันแล้วแก้ยากไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้วันนี้
วันนี้อยากให้ทุกคนมาสนใจ ดูผังเมืองที่ออกมาแล้ว วันนี้กระทรวงมหาดไทยเขาทำมาครบทั้ง 77 จังหวัดแล้ว เพราะฉะนั้นไป ดู ว่าผังเมืองใหม่เขาออกมายังไง ซึงเป็นการทำมาด้วยขั้นตอนปกติ ซึ่งที่ผ่านมาผมจำได้ ก่อนผมเข้ามา ทำมาได้ 10 กว่าจังหวัด 18 จังหวัด นี่เข้ามา 2 ปี กว่าๆ เกือบ 3 ปี ทำครบแล้ว ดูสิครับว่ามันต้องแก้ไขขนาดนั้น ทีนี้ลองมาดูสิว่าผังเมืองที่ออกมาแล้วเนี่ย เสร็จแล้วระหว่างที่ทำผังเมืองมันใช้เวลาเป็นปีในการทำ ในระหว่างปีนั้นพอทำต้นปี พอผ่านมาอีกปีบุกรุกเข้ามาอีก ผังเมืองมันต้องแก้ตลอด ให้ทันสมัยตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ต้องขอให้ทุกคนยึดมั่นดีๆ ผังเมืองปัจจุบันคืออะไร แล้วอย่าไปฝ่าฝืนตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ นายทุน เจ้าของที่อะไรต่างๆ ที่เก็งกำไร คิดโครงการอะไรต่างๆ ขึ้นมา ดูผังเมือง ก่อนแล้วก็ผลิตทีหลัง แล้วก็จะมาร้องว่าก็ทำให้เกิดความเดือดร้อน มันไม่ได้ วันนี้เราต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน แล้วก็ข้อสำคัญเราก็ถือว่าเราต้องได้รับความยินยอมจากชุมชนเมืองจากประชาชนด้วย เราไม่อยากใช้อำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มากจนเกินไป เพราะพี่น้องก็ยากจน รายได้น้อยหลายส่วนด้วยกัน หลายชุมชนเมือง หลายหมู่บ้านหลายชุมชนเมือง หลายหมู่บ้าน มีที่ตั้งทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย บางอย่างก็อยู่ก่อนมา การประกาศผังเดิมหรือพื้นที่ป่า เขา อะไรก็แล้วแต่ มันก็มีปัญหามาทั้งหมด เราก็ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ด้วยรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อย่าปล่อยให้ซ้ำซากเหมือนเดิม การพัฒนาก็ไม่เกิด
ขอร้องเอ็นจีโอวันนี้ ขอร้องมากหน่อย มันจะได้ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ถ้าคิดจะต่อต้านอย่างเดียวแล้วไม่สร้างสรรค์ ผมว่ามันไม่น่าจะใช่นะ ไม่น่าจะใช่การทำงานที่ถูกต้อง บางทีท่านก็เป็นคนไทย บางทีก็ไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศทั้งที่บางเรื่องจริงบ้าง บางเรื่องก็ไม่จริง ส่วนใหญ่ไม่จริงก็เยอะนะ เรื่องจริงก็มีก็แก้กันสิครับ ไม่บอกเราแล้วจะไปแก้กันได้ยังไง ให้ใครมาแก้ล่ะ ให้เขามาบังคับประเทศไทยเหรอ คิดบ้างตรงนี้ ทำเพื่อประเทศชาติกันบ้าง ทุกคนมีเหตุมีผล มีหลักคิด ทำหน้าที่ของตน อย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่ ถ้าไม่ทำเศรษฐกิจก็ดีขึ้นไม่ได้ เงินทอง รายได้ ก็ไม่หมุนเวียน ไม่กระจาย บางคนก็บ่นว่ารวยเป็นกระจุก จนเป็นกระจาย ก็ไม่ร่วมมือมันก็เป็นอย่างนั้น ก็ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมโยง เสียสละแบ่งปัน ปัญหาน้อยใหญ่ในอดีต มันจะได้รับการแก้ไข อย่างจริงจัง ไม่งั้นแก้ไม่ได้ การแก้ไขนั้นคือแก้ปลายเหตุ มันต้องสูญเสียเงินงบประมาณจำนวนมากมาย ทุกปีๆ น้ำท่วม ฝนแล้ง ก็ใช้เงินมหาศาล แทนที่เราจะเอาเงินเหล่านั้น มาทำทางระบายน้ำ ที่เก็บน้ำ แก้มลิง เขื่อน เยอะแยะไปหมด เสียไปเปล่าๆ พี่น้องก็เสียใจ บางคนก็ มีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจะต้อง สร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ สร้างแนวคิดขึ้นมาใหม่ อย่าไปทำแบบนี้ทุกปีๆ
เรื่องที่ 6. การบิดเบือนข้อเท็จจริง บางทีก็นำเสนอข้อมูลที่เป็นการให้ความหวังที่ผิดๆ นะ ถูกๆไม่เป็นไรหรอก ทุกคนก็ต้องมีความหวัง แต่ถ้าเป็นความหวังที่บิดเบือนผิดๆ หวังผลทางการเมืองบ้าง หวังผลอะไรก็แล้วแต่ ในทางไม่สุจริตหรือทำให้การเมืองระหว่างประเทศมีปัญหา ทำให้สังคมสับสน ทำให้ถูกจับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ผู้คนในประเทศไทยมีความขัดแย้ง ประเทศแตกแยกทางความคิด ไม่มีเสถียรภาพ ทุกอย่างมันก็เละไปหมด กระจัดกระจายไปหมด หลายพรรค หลายฝ่าย หลายกลุ่ม มีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำ ประชาชนก็เหลื่อมล้ำ ความคิดก็เหลื่อมล้ำ นักการเมืองก็แตกแยกกันไปอีก มันก็เลยไปไม่ได้ ยุทธศาสตร์มันก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นมันถึงมียุทธศาสตร์ไงมันถึงจะรวมกันได้ในยุทธศาสตร์ทั้ง 6 อย่าง 6 ข้อที่ว่า
รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ปัญหาทั้งหมด ในเชิงปฏิรูป ในเชิงโครงสร้าง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่อยากให้มีแรงต่อต้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก อย่าบิดเบือนกันนักเลย เขาตรวจสอบแล้ว ตัดสินแล้ว ออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น ศาลก็ต้องเป็นอย่างนั้น องค์กรอิสระก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าทำไมทำแต่ข้างนี้ แล้วข้างนี้ทำผิดข้างเดียวหรือเปล่า อีกข้างเขาทำผิดแล้วเขายอมรับกระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่ ก็ไปเลือกเอาดู ไปคิดดู ฝ่ายไหนผมก็ไม่รู้ ก็คือ ทุกคนต้องรับฟังให้รอบด้าน ตรวจสอบ ความถูกต้อง พิจารณาที่ครบทุกมิติ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องรอบคอบ เมื่อฟังข้อมูลจนอิ่มตัวแล้ว เราต้องยอมรับความรู้ที่ตกผลึก ตกลงใจร่วมกัน ที่จะเดินหน้าประเทศ
ตัวอย่างอีกอันหนึ่งก็คือเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ เพราะเป็นหนึ่งในหลายเรื่อง ที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตามยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในการถือครองที่ดิน และเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ได้มอบนโยบายไปแล้ว ว่าการจัดเก็บภาษีมันต้องสร้างความเป็นธรรมสร้างความเท่าเทียม ไม่เป็นภาระกับประชาชนส่วนใหญ่ หรือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของประเทศ ในทางกลับกันพี่น้องเหล่านี้จะต้องได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เช่น ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน หรือมีสวัสดิการที่ดีขึ้น เพราะรัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็จะลงทุนในอนาคตได้มากขึ้นเหล่านี้เป็นต้น ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ก็อยากจะให้ท่านช่วยกันเสียสละนะครับ มองเห็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล วันนี้เสียภาษี อาจจะเสียมากขึ้น วันหน้าราคาที่ดินก็สูงขึ้นเอง แล้วบางอย่างก็ท่านได้เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ประชาชนได้เช่าได้มากขึ้น แต่คนมาเช่าที่ก็ต้องรักษากติกา เมื่อเจ้าของที่เขาจะใช้ที่ก็ต้องคืนให้เขา เพราะเราเช่าเขามา เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาตลอด ในการสร้างความเท่าเทียมและก็สร้างโอกาสให้กับพี่น้องคนไทย เราต้องการให้มีที่ดินเป็นของตนเองทุกคนด้วย
เรื่องที่ 7. การกระจายอำนาจ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายคนหลายพวก หลายฝ่ายก็พูดอยู่เสมอ กระจายอำนาจๆ ทุกคนต้องเข้าใจว่ามันคืออะไร กระจายอำนาจ ต้องทบทวน หาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของความจริงว่า หากเราพูดถึงการกระจายอำนาจว่าคือการปกครองตนเอง การบริหารจัดการตนเอง ทุกเรื่อง มีงบประมาณเป็นของตนเอง ส่วนกลางก็ไม่ต้องมายุ่งมากนัก เพราะประชาชนรู้ปัญหาของพื้นที่ดี ผมถามว่าแล้วมันทำได้หรือยังเวลานี้ มันยังไม่พร้อมตอนนั้น เพราะเราก็ได้อยู่ในวาระเปลี่ยนผ่านมานานพอสมควรแล้ว ที่มีราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น หลายคนบอกว่า บ้านของเรา จังหวัดของเราเก็บภาษีได้เยอะแยะ ทำไมต้องไปแบ่งคนอื่นด้วย คิดแบบนี้ไม่ได้นะ ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นรายได้ทั้งหมดก็ต้องมารวม แล้วก็มาที่ส่วนกลางแล้วก็แบ่งปันไปจังหวัดอื่น ซึ่งบางจังหวัดรายได้เขาน้อย เราก็ต้องไปดู การเก็บภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน อันนั้นเป็นเรื่องของท้องถิ่น วันนี้ก็เก็บกันไม่ค่อยได้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูกันอีกทีว่าเดี๋ยวกฎหมายตัวนี้ออกมาแล้วมันจะเก็บกันได้ยังไง ก่อนอื่นต้องไปทำกฎกติกาอีกเยอะแยะเพื่อจัดเก็บให้ได้ เมื่อเก็บได้ งบของท้องถิ่นก็จะมากขึ้นเอง เมื่อมากขึ้นเองส่วนกลางที่ต้องเอาเงินไปสนับสนุน ก็จะได้ลดน้อยลง เอาเงินไปทำอย่างอื่น วันนี้มันสับสนอลหม่านพอสมควร แก้มาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นก็อยากให้ปรับปรุงประสิทธิภาพตัวเองด้วย ท้องถิ่นอย่าเรียกร้องอย่างเดียว ถ้าท่านแสดงให้เห็นได้ว่าท่านเข้มแข็งทั้งหมด ทั้งประเทศแล้วค่อยไปว่ากันใหม่วันหน้า วันนี้เอาที่เดิม ทำให้ได้ก่อน ทั้งการทำงาน ประสิทธิภาพ การทุจริต ไม่โปร่งใส ผมไม่ได้ว่าทุกที่นะครับ หลายพื้นที่หลายแห่งมีปัญหา แล้วก็ยังแก้ไขไม่ได้ ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่า ประชาชนไม่พึงพอใจ การพัฒนาองค์กรก็ไม่พร้อม ทั้งคน องค์กร ความรู้ กระบวนการทำงาน หลายคนก็อ้างว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ๆ ผมถามว่า ประชาธิปไตยที่คนไม่พร้อม จะทำอย่างไร มันต้องเตรียมคนให้พร้อม วิธีการให้พร้อม ประสิทธิภาพให้พร้อม มันถึงจะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ว่าโดยสมบูรณ์สากล ที่เหมือนนานาประเทศ อารยประเทศ เขาทำไปแล้ว เราเตรียมตัวพร้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องเหน็ดเหนื่อย รัฐบาลก็พยายามจะช่วย เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน ทำให้เกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด รัฐบาลไหนก็ทำไม่ได้ ถ้ายังไม่แก้ไขตัวเอง ไม่ปรับปรุง รายได้ประเทศก็มีไม่มี ไม่พอ มันพันทั้งหมด เราต้องแก้ปัญหาระยะยาว อย่าไปแก้ปัญหาระยะสั้น แล้วมันทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา ระยะยาวมันก็เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก เรียกว่าบริหารแบบไม่มียุทธศาสตร์
รัฐบาลนี้กำหนดภารกิจที่เหมาะสม และมอบหมายในการทำงานของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง กำหนดแนวทางการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐไว้แล้วด้วย วันนี้ก็เข้าไปลึกมาก ในการทำงานถึงข้างล่าง เพื่อจะได้แนะนำเป็นแนวทาง เพื่อวันหน้าท่านจะได้บริหารจัดการได้เหมาะสม หรือสอดคล้องกับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ช่วยยกระดับระบบการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย รับผิดชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ประชาชนมีส่วนร่วม
เรื่องที่ 8 การทำงานที่ยังไม่บูรณาการอย่างแท้จริง เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งรู้และไม่รู้ หรือโดยวัฒนธรรมในองค์กร ทั้งระบบงบประมาณ มีการแทรกแซงจากใครก็แล้วแต่ ฝ่ายการเมืองหรือผู้มีอำนาจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กล่าวอ้างกัน หรือการขาดธรรมาภิบาลของหัวหน้าหน่วยงานเหล่านี้ เป็นต้น
ข้อจำกัดเหล่านั้นมันติดอยู่ที่ตัวเองนั่นล่ะ ผมอยากให้ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ ภาคธุรกิจ เอกชน ทั้งหมด ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ว่าอะไรที่เป็นนโยบาย อะไรที่จะต้องประชารัฐ อะไรที่ต้องบูรณาการ มันก็ต้องทำให้ได้โดยการบูรณาการ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำแล้วมันเกิดผลเสีย วันนี้ วันหน้าเสียมากกว่านี้ เป็นอุปสรรคมากกว่านี้ เราต้องทำให้ได้โดยเร็ว ถ้าคิดแบบเดิมมันก็จะติดทุกอัน ปลดล็อกไม่ได้ ปัญหาอุปสรรคมันติดที่ตัวเองก่อน ความคิดตัวเองก่อน แล้วก็เอากฎหมายมาว่าต่อ เสร็จแล้วก็ไปไม่ได้เลย คิดก็ไม่ได้ กฎหมายก็ติด ผมเข้ามาวันนี้ผมเข้ามาแก้ปัญหานี้ ให้เกิดการบูรณาการ ประสานสอดคล้อง รัฐบาลก็ตั้ง ป.ย.ป. คณะกรรมการเชิงยุทธศาสตร์ PMDU มาขับเคลื่อน มีมาตรา 44 แก้ปัญหาให้ แล้วไม่ทำวันนี้ จะทำเมื่อไร ผมถามหน่อยเถอะ
ต้องแก้ปัญหาให้ได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน อะไรก็ตามที่เป็นงานตามพันธกิจ ก็ต้องทำให้ได้ตามแผนงาน อันนี้คือตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง เดิมทำงานแบบนี้อย่างเดียว พันธกิจ ของบประมาณมาแล้วก็ทำตามหน้าที่ของกระทรวง ไม่ใช่ มันต้องไปดูความต้องการของพื้นที่ ของประชาชนด้วย นั้นคือ Area Based ก็คือพันธกิจนี่แหละ ให้มันทำให้ครบซะก่อน จากนั้นก็มาสร้างความเชื่อมโยงด้วยการบูรณาการทำให้มันใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น จากถนนหนึ่งเลน เป็นสองเลน เป็นสามเลน เป็นสี่เลน เชื่อมต่อกันให้มากขึ้น เชื่อมต่อ ไม่ใช่สัญจรไปมาอย่างเดียว ไปเชื่อมต่อเรื่องเศรษฐกิจ การขนส่ง การคมนาคม การท่องเที่ยว คิดให้มันกว้างแบบนี้ มันถึงจะเกิดงานในพื้นที่ที่เรามองอยู่เป็น Area Based เพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิต
เพราะว่าอย่างไรก็ตามทุกประเทศในโลกก็ยังมีระบบราชการอยู่ ที่จะเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เชื่อมโยงกลไกประชารัฐ ซึ่งก็เหมือนเป็นระบบกล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ หรือล้า ไม่เข้มแข็ง ประเทศชาติก็เดินไม่ได้ แข่งขันกับใครก็ไม่ได้ เหมือนวิ่งไปแล้วก็สู้เขาไม่ไหว เดี๋ยวซ่อมๆ เดี๋ยวพัก มันก็หลุดขบวน โลกศตวรรษที่ 21 แล้วไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับพี่น้องประชาชนได้เลย
ตัวอย่างหนึ่ง ความพยายามของกระทรวงแรงงานที่ต้องการจะใช้กลไกประชารัฐเพิ่มคุณภาพชีวิตลูกจ้าง ลดอุปสรรคการค้า ในอุตสาหกรรมประมงทะเล อุตสาหกรรมสัตว์ปีก โดยมีการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน การค้ามนุษย์ ในกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ได้ ด้วยการนำศาสตร์พระราชา เรื่องการมีส่วนร่วมสร้างกลไกประชารัฐ ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมาคมผู้ผลิตสินค้าประมงและปศุสัตว์ต่างๆ ในการจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายแรงงานของประเทศ เช่น การไม่ละเมิดสิทธิแรงงาน ไม่ใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย ไม่ค้ามนุษย์ รัฐบาลนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติเหมือนกัน ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามมาตรฐานแรงงานสากล ควบคู่ไปกับการเสริมศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทยในเวทีการค้าโลก และก็ประเทศไม่ต้องสูญเสียรายได้กว่า 130,000 ล้านบาทต่อปีด้วย
จากประเด็นปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า สิ่งที่ รัฐบาลและ คสช. คิดและทำเพื่อคนจำนวนมาก ก็คือเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกพื้นที่ ไม่เลือกจังหวัด ไม่เลือกตำบล อำเภอ มันมีใหญ่ตรงโน้น ตรงนี้ กลางตรงนี้ เล็กตรงนู้น มันก็เสริมกันไปกันมา มันก็เกิดทั้งประเทศ ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ มันก็ไม่เกิดความยั่งยืน ถ้าเราทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศ ที่ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดีอยู่แล้ว ถ้าทุกคน ทุกฝ่าย ไม่เข้าใจกัน ไม่ร่วมมือกัน มันก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันในผลงาน ในผลกระทบที่จะเกิดจากปัญหาเหล่านั้นต่อไป น้ำท่วม น้ำแล้ง ปราศจากการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ การเก็บสำรองน้ำ และการระบายน้ำ ทำไม่ได้ ราคาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ ไม่มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืช ไม่มีการทำเกษตรแปลงใหญ่ ไม่มีการพัฒนาไปสู่สินค้า GAP หรือสินค้าอินทรีย์ หรือพัฒนานวัตกรรม เหล่านี้ไปไม่ได้ทั้งหมด แล้วแถมด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ต่างคนต่างอยู่ ธุระไม่ใช่ เรียกร้องอย่างเดียวเจ้าหน้าที่ก็ทำงานไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าทำ ติดกฎหมาย
มันต้องคิดใหม่ทั้งหมด ความขัดแย้ง ไม่ยอมกันบ้าง ไม่รับฟังกันเลย คิดแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำของตัวเองให้ดี แต่ปรากฏว่าไปทำให้คนอื่นเสียหายด้วย มันต้องคิดด้วยกัน บูรณาการด้วยกันทั้งหมด เราต้องคิดถึงชาติ ประเทศไปด้วย สอนให้คนรู้จักเสียสละแบ่งปัน อย่างทำงานลูบหน้าปะจมูก เอาดีแต่เพียงคนเดียว ฝ่ายเดียว ไม่ได้ มันต้องบูรณาการเหมือนที่รัฐบาลกำลังทำเวลานี้ ใช้วิสัยทัศน์ ปฏิรูปตัวเองเสมอ ทุกอย่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด ถ้าไม่ทำมันก็ไม่เปลี่ยนแปลง บ้านเมืองก็หยุดอยู่ที่เดิม
พี่น้องครับ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกอัน ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ผมได้ไปพบพี่น้อง ทั้งนักวิชาการ ทั้งนักศึกษา แล้วก็นักวิจัยอื่นๆ มีการกล่าวปาฐกถา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มีเรื่องเล่าให้ฟัง เรื่องที่ 1 คือการจัดนิทรรศการด้านเกษตรกรรมและนวัตกรรม นำผลงานวิจัยที่นำออกเผยแพร่ใช้ประโยชน์แล้ว และมีผลงานวิจัยที่พร้อมขยายผลในเชิงพาณิชย์ จำนวนกว่า 50 ผลงาน ซึ่งหลายผลงานเป็นงานวิจัยที่จะช่วยต่อยอด เพิ่มมูลค่าและรายได้ให้แก่เกษตรกร เช่น พืชพันธุ์ใหม่ ที่มีคุณภาพ ราคาสูง ให้ผลผลิตสูง เป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ ใช้น้ำน้อยในการเพาะปลูก เช่น พันธุ์ผักคุณภาพดี สมุนไพร ที่รับรอง มีสารออกฤทธิ์สูง และไม่มีสารพิษเจือปน เหมาะใช้ในการทำอุตสาหกรรม และพันธุ์สัตว์ ที่มีการเสนอสายพันธุ์โคเนื้อคุณภาพสูง ลูกผสมพันธุ์กำแพงแสน วากิว เป็นเนื้อคุณภาพดี เป็นทางเลือกให้เกษตรกร พัฒนาผลิตผลการเกษตรที่มีคุณภาพดีไว้ได้ เป็นต้น
เรื่องที่ 2 การพัฒนาเกษตรกรให้เป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ ให้เข้าสู่ยุค 4.0 มีการบริหารจัดการการผลิตโคเนื้อคุณภาพสูง เกษตรแปลงใหญ่ แอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรในการพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการการปลูกข้าว การใช้ปุ๋ยสั่งตัด การเลี้ยงปลาแบบแม่นยำสูง อีกหลายอย่าง ซึ่งมีเกษตรกรนำไปใช้แล้วได้ผลดี รวมทั้งมีการพัฒนาหลักสูตรศาสตร์แห่งแผ่นดิน สำหรับพัฒนาเกษตรกรให้ปรับตัวเข้ากับการเกษตร 4.0 เพื่อนำผลผลิตไปสู่การแปรรูปต่างๆ ในยุค 4.0 ให้มีราคาของต้นทางที่สูงขึ้น จะทำยังไงก็ต้องช่วยกันคิดนะครับ เพื่อจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศอีกด้วย
3. การพัฒนาระบบสารสนเทศ สำหรับการจัดการการเกษตร ได้แก่ ศูนย์กลางข้อมูลความรู้การเกษตรแห่งชาติ เพื่อรวบรวมความรู้ทางด้านการเกษตร ในรูปแบบดิจิตอลสำหรับเกษตรกร ใช้ง่ายๆ ครอบคลุม
4. การวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับนำมาใช้เองในประเทศ รวมทั้งส่งออกเทคโนโลยีไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ที่มีมูลค่า เช่น การพัฒนาชุดทดสอบสารก่อภูมิแพ้ การผลิตวัคซีนสำหรับปลาและสุกร การสร้างเครื่องวิเคราะห์ปริมาณน้ำมันในผลปาล์มอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง และเครื่องปลูกข้าวสำหรับนาประณีตและนาแปลงใหญ่ เป็นต้น
5. การวิจัยเพื่อต่อยอดทางการเกษตร โดยการแปรรูปอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น แผ่นควบคุมน้ำตาล ต้านอนุมูลอิสระ อาหารผู้สูงอายุ ที่มีภาวะอ้วน ผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และการพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นการนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง หากขยายผลออกไป ก็จะช่วยพัฒนาคุณภาพ สร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในภาคการเกษตร เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากงานวิจัยแล้ว ยังมีการวางรากฐานด้านข้อมูลต่างๆ เพื่อสนับสนุนและใช้ต่อยอดงานวิจัยในอนาคตอีกด้วย ทางมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO : เบโด้) ในการจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินชีวภาพสำหรับพืชชนิดต่างๆ รวมทั้งร่วมเครือข่ายกับ สวทช. และกรมวิชาการเกษตร ในการสร้างธนาคารเชื้อพันธุ์พืชระดับชาติ เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย ให้เกิดเป็นผลิตผลการเกษตรชนิดใหม่ เช่น เห็ด รา สมุนไพร เราอาจจะนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น
พี่น้องประชาชนครับ สิ่งที่น่าสังเกต งานวิจัยที่ผมไปสัมผัสมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วันนั้น หรือที่อื่นก็ตาม หลายๆ ชิ้น มีคุณภาพดีมาก และก็ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่หลายอย่างก็รอ อยู่ระหว่างรอการขยายผล ซึ่งหากเราสามารถเร่งรัดตรงนี้ได้ นำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ก็สามารถจะเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศได้
ซึ่งขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้เสนอรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัย การเผยแพร่งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง นำงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเอสเอ็มอี การสร้างเวทีที่ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน ระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่อการเกษตรร่วมกันทุกภาคส่วน ซึ่งก็ตรงกับแนวทางของรัฐบาล ที่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมด้วยงานวิจัยในทุกๆ ด้าน เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งรัฐบาล กำลังเร่งรัด เรื่องขึ้นทะเบียนการรับรองมาตรฐาน มอก. อย. เพื่อนำสู่การผลิตใช้งานให้ได้โดยเร็ว ปัญหาส่วนนั้นก็มีอยู่แล้วก็ มีเหมือนกัน ไม่ทัน ช้า เสียเวลา คนไม่พอ ต้องไปแก้ตรงนั้นด้วย เช่น ในเรื่องของการขึ้นบัญชีวันนี้ก็ขึ้นไปหลายอย่าง ถ้าขึ้นบัญชีกันแล้ว แล้วไปผ่านมาตรฐาน ก็สามารถไปผลิตจำหน่ายได้ ใช้ได้ มันจะเป็นกลไกในการเชื่อมโยง บัญชีนวัตกรรมไทยที่ว่านี้ งานวิจัยกับเอกชนผู้ผลิต
ที่ ครม. ครั้งที่ผ่านมาที่ผมก็เร่งรัดทุกหน่วยงานไปรวบรวมงานวิจัย จากทั้งของรัฐ ของสถานศึกษา ของภาคธุรกิจเอกชน ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนที่มีศักยภาพ เราก็จะนำไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ได้มาตรฐาน และไปหาแก้ไขอุปสรรค เหตุติดขัดทั้งหมด ให้ทำให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเราก็ต้องมาดูเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้วิจัยด้วย หรือองค์กรของผู้วิจัย ว่าทำอย่างไรเขาจะมีรายได้ ที่เป็นกำลังใจ จูงใจให้เขานำมาผลิตผลงานใหม่ๆ ออกมา ทำงานวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับประเทศไทยของเรา ให้มีความเจริญเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป
วันนี้พูดเยอะหน่อยนะครับ ก็หลายเรื่องด้วยกัน ก็คงต้องทำความเข้าใจกันหลายเรื่อง เพราะบางเรื่องมันสลับซับซ้อนและก็ต้องทำหลายอย่างด้วยกัน ผมอยากจะสร้างความเข้าใจเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งรำคาญเลย เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอะไร และพอใครไม่หวังดีมาพูดอะไร มันก็ทำให้งานของรัฐบาลที่กำลังทำอยู่ช้าลง ช้าลงโดยไม่มีเหตุมีผล ขอร้องพี่น้องประชาชนนะครับกรุณาช่วยกันตั้งความหวังแบบผม เหมือนผม ว่าเราจะต้องมีประเทศไทยที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ขอขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง การบังคับใช้กฎหมายด้วย ทั้งวันนี้และวันหน้า อย่าให้มีผลกระทบซึ่งกันและกันอีกเลย และมีการบาดเจ็บสูญเสียมาก ไม่ว่าจะวันใด มันก็ทำให้ครอบครัวเสียใจทั้งสิ้น ผมก็เสียใจไปกับท่านด้วยเหมือนกัน ในฐานะเป็นผู้นำรัฐบาล ขอบคุณนะครับ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ก็มีข่าวที่น่ายินดีของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา อันได้แก่ การคว้าตำแหน่งแชมป์มวยโลก WBC รุ่นซุปเปอร์ฟลายเวตของศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ซึ่งก็เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศ และสร้างความสุขให้กับคนไทยด้วย ผมขอแสดงความยินดี ขอยกย่องความมุ่งมั่น ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลกได้ในที่สุด สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคงต้องอาศัยความมุมานะฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งสำคัญที่สุดก็ต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อนด้วยนะครับ จึงอยากให้เยาวชนไทยดูศรีสะเกษเป็นแบบอย่าง แต่สิ่งที่ยากและสำคัญกว่านั้น คือการใช้สติ มีวินัย เพื่อการรักษาแชมป์ อยู่ในตำแหน่งอย่างสมศักดิ์ศรี คนไทยทุกคน ก็ต้องเป็นกำลังใจให้นะครับ ทุกนักกีฬาของเราที่ไปแข่งขันที่ต่างประเทศ
อีกความสุขของคนไทยก็คือการ รายงานของเครือข่ายการแก้ปัญหาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDSN ภายใต้องค์การสหประชาชาติที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความสุขอยู่ในอันดับที่ 32 จาก 155 ประเทศทั่วโลก ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากปีที่ผ่านมาก็อยากให้ประชาชนร่วมภาคภูมิใจนะครับ บนบรรไดสู่ความสำเร็จนั้น เราค่อย ๆ ก้าวมาทีละขั้น ค่อยเป็นค่อยไปอย่างมั่นคงและมันจะเป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ดีในสายตานานาอารยประเทศ อะไรที่ดีก็ช่วยกันรักษานะครับ อย่าทำลายกัน อย่าบิดเบือนกัน แล้วพัฒนากันให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าสร้างการรับรู้ผิด ๆ ให้กับสังคม สิ่งใดที่ยังบกพร่อง ต้องใช้เวลา ก็ต้องช่วยกันแก้ไขกันต่อไป ทั้งนี้ เพื่อลูกหลานของเราในอนาคตด้วย
อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญมาตลอด ก็คือ การแก้ปัญหาขยะที่ได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และก็อยู่ในความสนใจของประชาคมโลกเช่นกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะ เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ที่เป็นเทคโนโลยีของคนไทยพัฒนาใช้เอง และดำเนินการจนเห็นผลแล้วหลายพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2559 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยอย่างเป็นรูปธรรม และรับรองผลได้เป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเราไม่ช่วยกัน หรือว่าเคยกำจัดขยะกันด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือเดินระบบไม่ได้จริง แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สิ่งปฏิกูล ครั้งนี้ รัฐบาลก็ได้บูรณาการ 5 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโจทย์ที่เป็นการสนองตอบรัฐบาลได้ที่เป็นนโยบาย 4 ข้อด้วยกัน
นโยบายแรกก็คือ การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำขยะมาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิง แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมหรือผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งในปี 60 นี้ การบริหารจัดการขยะ จะต้องมีความก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด
นโยบายที่ 2 ก็คือการส่งเสริมบัญชีนวัตกรรมไทยที่เป็นหนึ่งในกลไกภาครัฐ ในการเชื่อมโยงระหว่างผลงานวิจัย ที่ สกว. และกระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนการพัฒนาต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี ให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นนวัตกรรมไทย เพื่อนำมาผลิตสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งเทคนิคการกำจัดขยะนี้ได้นำเทคโนโลยีระบบการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มาพัฒนาต่อยอด เราจะไม่ปล่อยให้งานวิจัยดี ๆ ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นหิ้ง เราจะต้องนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม สร้างระบบ Start Up แล้วก็ให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ตรวจสอบและรับรองเทคโนโลยี จากนั้นให้กระทรวงการคลังกำหนดราคากลางให้ชัดเจน รับรองเทคนิค รับรองราคา โดยภาครัฐจะต้องตัดวงจรทุจริตในการประมูล ฮั้วประมูลออกไปให้ได้ ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการบูรณาการงานวิชาการกับงานด้านปฏิบัติเป็นอย่างดี
นโยบายที่ 3 ก็คือกลไกประชารัฐ ที่ภาควิชาการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ภาครัฐ สนับสนุนงบประมาณ และชุมชนท้องถิ่น นำไปสร้างระบบเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และ SCG ลงนาม MOU รับซื้อระบบกำจัดขยะนี้ทั้งหมดที่ผลิตได้โดยนวัตกรรมไทย ขอบคุณนะครับ เป็นการสร้างความเข้มแข็ง และมั่นคงที่ยังยืนให้กับชุมชน ไม่ใช่แต่เพียงด้านเศรษฐกิจ แต่รวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ
นโยบายที่ 4 ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ ถือเป็นการนำเอานวัตกรรมมาปรับใช้ในการใช้ ในการใช้ชีวิตประจำวัน และดูแลสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนให้นวัตกรรมไทย ขายได้ ปลุกพลังนักวิจัยไทยให้ค้นคว้าเพื่อพัฒนาประเทศ และช่วยสะท้อนว่า ไทยแลนด์ 4.0 นั้น เกี่ยวข้องกับทุกด้านของการดำเนินชีวิตของพวกเราทุกคน พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ก็คงไม่ใช่เฉพาะเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นนะครับ
นอกจากการสร้างระบบกำจัดขยะนี้จะสอดคล้องกับมาตรการในประเทศของรัฐบาลแล้ว ยังสามารถตอบโจทย์นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของโลกอีก 2 ด้าน ก็คือ
1. การช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากบ่อขยะ ที่เป็นบ่อเกิดของก๊าซมีเทน สาเหตุของภาวะโลกร้อน และ 2.การสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทำให้พี่น้องประชาชนกินดีอยู่ดี ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศ เป็นการประหยัดทรัพยากร ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ผมขอชมเชยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นแบบอย่างในการทำงานเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ประยุกต์นโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ อย่างบูรณาการ ก็ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันคิดช่วยกันทำ เพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และประเทศชาติเป็นหลัก ผมขอยืนยันนะครับว่ารัฐบาลและ คสช. จะพยายามสะสางปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน เพื่อนำพาประเทศของเราสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนให้จงได้
พี่น้องประชาชนครับ ปัญหาสำคัญและอุปสรรคของประเทศไทยก็ยังมีอยู่หลายประการ ผมเคยกล่าวมาหลายครั้ง วันนี้ก็ขอหยิบยกขึ้นมาเพื่อจะสร้างความตระหนักรู้ และขอความร่วมมือในการแก้ไขช่วยกันนะคับ เดินไปด้วยกัน ดังนี้
เรื่องที่ 1. การจัดทำผังเมือง ซึ่งก็ยังเป็นปัญหาที่เกิดจากการปล่อยปละในอดีต ส่งผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบัน เนื่องจากการเข้ามายึดครองพื้นที่ ที่ไม่เป็นไปตามผังเมือง การประกอบการใดๆ ก็ตาม ส่งผลกระทบทั้งด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเมือง แล้วก็กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ ทำให้เกิดน้ำท่วม เมื่อการจัดผังเมืองที่เราทำไปแล้ว ดำเนินการไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็มีผลไปถึงการปฏิรูปที่ดินต่างๆ อีกด้วย ซ้ำเติมด้วยปัญหาการบุกรุก แล้วก็ไม่ยอมออกเมื่อมีการใช้กฎหมาย ประชาชนไม่ยินยอมให้ดำเนินการใดๆ ก็สาเหตุอาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจ หรือถูกบิดเบือนจนเข้าใจผิด หรือแม้กระทั่งถูกผลักให้เป็นนอมินีของบรรดานายทุนที่ไม่หวังดี
ในส่วนนี้ รัฐบาลได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่าการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 1 ใน 6 ยุทธศาสตร์ของเรา 20 ปี เพื่อจะแก้ปัญหาระยะยาวต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาแต่ละเรื่องนั้น เราจะหลีกเลี่ยงผลกระทบเลยคงไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีผลกระทบบ้าง เพราะว่าเราละเมิด ละเลยกันมา ปล่อยปละละเลยกันมายาวนาน แต่ผมยืนยันว่า การกระทำใดๆ ก็ตามนั้น เราเน้นในเรื่องของการที่มีส่วนร่วม ส่วนรวมจะต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน มีผู้เสียผลประโยชน์ในเบื้องต้น ให้น้อยที่สุด แล้วก็จะได้รับการเยียวยาที่เหมาะสม ได้ผลประโยชน์กลับคืนมาในภายหลังด้วย
อีกเรื่องก็คือปัญหาทางเทคนิค มีการใช้แผนที่หลายอย่างด้วยกัน หลายหน่วยงานด้วยกัน อาจเป็นแผนที่ที่ไม่ตรงกัน มาตราส่วนอาจจะไม่ตรงกัน คงไม่ใช่ไม่ถูกต้องนะ เพราะแผนที่ทำหลายครั้ง และห้วงระยะเวลาในการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นอาจจะไม่ตรงกัน บางอย่าง บางพื้นที่ก็ทำใหม่ บางพื้นที่ก็ใช้แผนที่เก่า อะไรทำนองนี้ วันนี้เราก็ต้องปัญหาตรงนี้ให้ได้ ก็จะทำยังไงไม่ให้เกิดความทับซ้อน หรือเกิดช่องว่างระหว่างแผนที่ที่ไม่ตรงกัน ไม่ทันสมัย มีการทับซ้อน มีช่องว่าง เหล่านี้เป็นบ่อเกิดของการทุจริต พื้นที่จริงกับในแผนที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันนี้ รัฐบาลก็พยายามหาทางแก้อยู่ ก็ได้พยายามเร่งดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ ที่มีมาตราส่วนเดียวกัน คือ 1 ต่อ 4,000 ที่เรียกว่า One Map ไม่ได้หมายความว่าเอาอันนี้มาใช้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเป็นพื้นฐาน เมื่อเป็นพื้นฐานออกมาแล้ว ก็เอาแผนที่ของแต่ละหน่วยงานออกมาเทียบดู มีช่องว่าง มีจุดที่เหลื่อมล้ำตรงไหนก็ไปแก้ปัญหากันตรงนั้น ให้ตรงจุด ก็จะเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหา แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการที่จะปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เป็นหนึ่งยุทธศาสตร์เหมือนกัน ใน 6 ข้อ 6 ยุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาในอดีตอย่างยั่งยืน
เรื่องที่ 2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำให้เกิดความเป็นธรรมร่วมกัน ทำให้ทุกอย่างให้เป็นการถูกกฎหมาย ถูกต้อง แข่งขันเสรี มีการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส แล้วก็ไม่ให้เกิดพัวพันไปถึงเรื่องการทุจริต ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจก็เป็นปัญหาของประเทศ มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้วนะครับ ติดขัด ทำอะไรไม่ได้มากนักในการพัฒนาขนาดใหญ่ รัฐบาลนี้ก็ได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เช่นกัน เราจะมุ่งมั่นแก้ไขให้ได้ในเร็ว
ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมาย และการป้องกันสังคมของเรานั้นให้ปราศจากคอร์รัปชั่น ผมเห็นว่าเราต้องไม่ปล่อยให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานตรวจสอบต่าง ๆ องกรอิสระเท่านั้น ต้องเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน ที่ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพราะว่ามีผลเสียตกที่พวกเราทุกคน คือผู้ได้รับประโยชน์ก็คือคนไทยทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นทั้งผู้ให้ผู้รับทั้งฝ่ายรัฐผู้ประกอบการ เราต้องร่วมมือกันนะ ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วก็เปลี่ยนผ่านตรงนี้ไปให้ได้ ไม่อยากให้โทษกันไป โทษกันมา องค์กรอิสระ หน่วยงานตรวจสอบก็มีหน้าที่ตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ให้ได้ข้อยุติออกมาก็เป็นไปตามนั้น เรื่องการลงทุนเพื่ออนาคตนั้น เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สร้างความมั่งคั่งของชาติ ในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน นี่ก็เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งใน 6 ยุทธศาสตร์ ซึ่งในส่วนของการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตนั้น ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญ และต้องดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่องในระยะยาว
ที่ผ่านนั้นเราค่อยๆ แก้ปัญหามาทีละเปลาะ ทีละเปลาะ หลายอย่างด้วยกัน ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ว่าสั่งวันนี้อย่าทุจริตนะ แล้วจะแก้ได้เลย ไม่ได้หรอกครับ ต้องดูกฎหมาย ช่องโหว่กฎหมาย มาตรการ ราคากลาง การจัดซื้อจัดจ้าง วิธีการต่างๆ มากมายทั้งหมด ต้องค่อยๆ แกะๆ ออกมา แล้วค่อยๆ แก้ วันนี้ก็แก้ไปเยอะแล้วอาจยังไม่ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะได้ 100 เปอร์เซ็นต์เพราะทุกคนต้องช่วยกันดูแล แล้วก็แจ้งกันมาตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ลุกลามบานปลายไปถึงตอนท้าย เสียหายมากขึ้น ต้องทำ ทำให้ได้มากที่สุด ก็ขอความร่วมมือทั้งฝ่ายข้าราชการ รัฐ ผู้ประกอบการ ประชาชน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ต้องทำให้ได้มากที่สุด เริ่มกันวันนี้ วันหน้าก็จะเรียบร้อย แล้วประสบผลสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ทุกคนต้องการ แล้วก็ข้อสำคัญ อะไรก็ตามที่ทำได้แล้วอย่าปล่อยให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การปลุกจิตสำนึก เราต้องการให้พี่น้องประชาชนลูกหลาน ซึ่งก็จำเป็นอย่างยิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์
อีกข้อก็คือในเรื่องของการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนของประเทศอีกด้วย ในเรื่องนี้ ต้องขอความร่วมมือกับบรรดา NGO ทั้งหลาย ทั้งที่หวังดีหรืออาจจะไม่เข้าใจ ช่วยกันดูในเรื่องการลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งต้องรักษาให้สมดุลกับการรักษาทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ถ้าอันใดอันหนึ่งไม่สมดุลกันก็ไปไม่ได้ทั้งคู่ แล้วก็รักษาไม่ได้ทั้งสองอย่าง แล้วก็ประชาชนก็ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในทุกมิติ
เห็นไหมครับว่ายุทธศาสตร์ที่ยกตัวอย่างไปนี่ 3-4 ยุทธศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของ 6 ยุทธศาสตร์หลัก 20 ปี ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย เป็นหัวข้อยุทธศาสตร์กว้าง ๆ คราวนี้ทุกรัฐบาลก็ต้องไปคิดกิจกรรมมาว่าจะทำอะไร แก้ปัญหาขยะ แก้ยังไง จะพัฒนาคน พัฒนาเรื่องอะไรบ้าง ก็ไปเขียนกันมาไปทำโครงการกันมา แล้ววันหน้าก็บริหารกิจกรรมแบบเชิงยุทธศาสตร์ ก็เดินหน้าไปได้ ไม่ใช่ทำงานด้วยพันธะกิจอย่างเดียว หรือตั้ง Area Base อย่างเดียว ก็ไม่เกิดความเชื่อมโยงไง จึงจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์นะครับ แล้วก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อสถานการณ์โลกมีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
เรื่องที่ 3. เรื่องการศึกษา ผมย้ำหลายครั้งแล้ว สำคัญที่สุด เกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นี่นะครับ การขาดหลักคิด ไม่ใช่คิดเป็น แต่ไม่มีหลักในการคิดที่ถูกต้อง ชอบธรรม มีศีลธรรม มีคุณธรรม จริยธรรม ถ้าคิดแบบอะไรก็ได้ ก็อาจจะมีทั้งถูกทั้งผิด เพราะจะเป็นต้นตอของทุกปัญหา ถ้าเรามีหลักที่ถูกต้อง แล้วก็ปรับหลักคิดให้สอดคล้องต้องกัน รับฟัง ปรึกษาหารือกัน ก็จะไปได้เร็วนะ สำหรับการพัฒนาประเทศ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังทุ่มเทอย่างมาก ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ถึงมีผลสำเร็จมาโดยตลอด ของเราต้องเร่งดำเนินการให้มีคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ถ้าเรายังติดอยู่กับหลักคิดที่แย่ ๆ ไม่เท่ากัน ไม่เป็นพื้นฐานอันเดียวกัน หลักคิดพวกนี้ไม่ได้คิดเหมือน เขาเรียกว่าคิดในทางที่ดีนะ ไม่ใช่คิดในทางที่อะไรก็ได้ คิดเป็นอย่างเดียวไม่ได้
อาจจะมีการคิดโดยผู้ประสงค์ร้ายก็มีต่อประเทศชาติ หรือด้วยหวังอำนาจ ผลประโยชน์ เห็นแก่ตัว ที่อาจจะคิดง่ายๆ ว่า คนไม่มีการศึกษา หรือคนมีรายได้น้อยเขาจะปกครองได้ง่ายคือ ครอบครองได้ง่ายทำนองนั้น คงมีการคิดแบบนี้อยู่เหมือนกัน ก็เลยไม่อยากจะพัฒนาให้เขาคิดรู้คิด มีหลักคิดไม่ต้องการ ไม่สร้างโอกาสให้เขา เพราะเดี๋ยวมันจะปกครองยาก รัฐบาลนี้ต้องการให้ทุกคนคิดเป็นทั้งหมด
เพราะฉะนั้นหลายอย่างติดขัด อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ ไม่เชื่อใจกันเอง หลายครั้งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์ จากความไม่รู้ของเรานั้นให้เป็นประโยชน์กับเขาด้วย รัฐบาลนี้มุ่งเน้นการน้อมนำศาสตร์พระราชาทุกแขนงในการที่จะพัฒนาคน พัฒนาประชากรของประเทศ ได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในเรื่องของการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพคน เป็นพื้นฐาน เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์อื่นๆ อีกด้วย สำคัญที่สุดใน 6 ยุทธศาสตร์นั่นแหละ
เรื่องที่ 4.ปัญหาเศรษฐกิจได้มีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรามีปัญหา มีปัญหา มีหน่วยเศรษฐกิจหลายอย่าง หลายขนาด ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน เอสเอ็มอี ที่ผ่านมามีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันน้อยมาก ต่างคนต่างทำเพื่อจะสนับสนุนของตัวเอง แต่ไม่มีความเชื่อมโยงต่อกัน
เพราะฉะนั้นมูลค่าก็ไม่เกิดในภาพรวม มันไม่เพิ่มเป็นแมส เป็นจำนวนขนาดใหญ่ขึ้นมา บางทีภาครัฐกำหนดนโยบายออกมารัฐคิดไปทาง ภาคเอกชนคิดไปอีกทางหนึ่ง ไม่สนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว มันควรเจอกันตรงกลางให้เป็นแบบวินๆ ที่ว่าทั้งสองทาง รัฐก็ได้ ประเทศชาติก็ได้ ผู้ประกอบการก็ได้ ประชาชนก็ได้ ทุกคนได้หมด เราจะต้องคิดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องเศรษฐกิจ และเดินหน้าต่อไปให้ได้ ต้องติดตามให้รู้เท่าทัน อีกทั้งกฎหมายซึ่งจะเป็นกฎเกณฑ์เป็นหลักปฏิบัติที่จะทำให้กับทุกฝ่ายได้มีการดำเนินทุกกิจกรรมด้วยความโปร่งใส เท่าเทียมในตลาดการค้าเสรี บางอย่างนั้นอาจจะยังไม่ทันสมัยไม่ทันโลก ไม่ทันเทคโนโลยี มันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการทางธุรกิจ ทำให้เกิดช่องว่าง ทำให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอุดมการณ์ นักลงทุน ผู้ประกอบการที่ไม่ดี แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว หรือมีการตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ส่วนรวม หากทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่รัดกุม เป็นสากลโปร่งใสทุกขั้นตอน เกื้อกูลทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน อย่างที่รัฐบาลนี้พยายามทำอยู่ มันไม่น่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ใคร เป็นการเฉพาะหากยึดถือผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง บางทีก็กล่าวอ้างกันไปกันมาว่ากฎหมายนี้เพื่อคนนี้เพื่อคนนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย ลองไปดูให้ดี เศรษฐกิจของประเทศประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดใหญ่ อาจจะเรียกว่าข้ามชาติด้วย การลงทุนทั้งในประเทศของคนไทยด้วยกัน หรือจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน หรือเราไปลงทุนที่ต่างประเทศ การประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ หรือร้านค้าขายอิสระทั้งหมดเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาไปพร้อมๆ กัน มันจะต้องเกื้อกูลกัน ไม่อย่างนั้นก็จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีรายได้น้อย เพราะส่วนใหญ่มันมาไม่ถึง
เพราะฉะนั้นส่วนน้อยก็ทำมากก็ได้น้อยไง เพราะฉะนั้นเราต้องทำทั้งหมดให้เชื่อมโยงกันให้ได้ เรากำลังทำอยู่ มันไม่ได้แก้กันได้ง่ายๆ แบบนั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนกันอีกเรื่องเศรษฐกิจแบบนี้ มันอันตราย รัฐบาลนี้ก็มีหน้าที่อำนวยความสะดวกทางด้านกฎหมาย โครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาต่างๆ แล้วในเรื่องของการคมนาคมขนส่ง ระบบสารสนเทศก็ทำตัวเหมือนเป็นสะพานเชื่อมโยง สร้างห่วงโซ่ในวงจรเศรษฐกิจ ทั้งภายในประเทศเอง และไปยังต่างประเทศ เราต้องสร้างบรรยากาศภาพลักษณ์ ความสัมพันธ์ที่ดี มีผลต่อความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความมั่นคงในการค้าการลงทุน ทุกคนเขาต้องวางแผนหมดในการใช้จ่าย ใช้เงินทุน ถ้าเขาไม่เชื่อมั่นเขาก็ไปกู้เงินไม่ได้ กู้เงินไม่ได้ก็ลงทุนไม่ได้ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา เราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นในประเทศเราให้ได้ อย่าทำลายกันอีกเลย ว่ากันไป ว่ากันมา ผลกระทบก็ออกไปข้างนอก มีอะไรก็มาบอกกัน มาแก้ไขกัน ถ้าเป็นเจตนาที่บริสุทธิ์เราก็ทำให้หมด เว้นแต่เจตนาไม่บริสุทธิ์ ผมไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ตรงไหนมันบกพร่อง มันจะส่งผลกระทบต่อทุกกลุ่มเป็นห่วงโซ่ อะไรดีก็ไปดีกันทุกกลุ่ม ถ้าเสียก็เสียทุกกลุ่ม
อยากให้ทุกคนนั้นได้มองตรงนี้ เข้าใจตรงนี้แล้วร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลไกประชารัฐที่เริ่มมาหลายจังหวัด และทุกจังหวัดก็กำลังเดินหน้าไปอยู่ ถึงแม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วทุกคนทราบดี นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ คงจะต้องหวังกำไรให้มากที่สุด เพื่อจะคืนให้ผู้ถือหุ้นด้วย หรือนักลงทุน ในขณะที่ประชาชนต้องการของถูกที่สุด มีคุณภาพดีที่สุด แต่ถูกที่สุดซึ่งเป็นความต้องการอะไรที่ตรงกันข้ามอยู่แล้ว แต่หากทุกคนเห็นอกเห็นใจกันเข้าใจกัน รัฐเข้ามาดูแลให้ความเป็นธรรม แต่ทุกอย่างมันบังคับมากไม่ได้ ถ้าเขาทำถูกกฎหมาย เขาว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาจะช่วยเราได้ก็คือว่า ผู้ประกอบการต้องนึกถึงว่า คนของเรามันจะใช้ได้ มีเงินซื้อของเขาหรือเปล่า หรือจะผลิตไปเพื่อต่างประเทศอย่างเดียว ต้องคิดตรงนี้ว่าผลิตอะไรออกมาต้องมุ่งหวังให้คนไทยนี่ใช้ของคนไทยที่ผลิตออกมาเอง แล้วราคาถูกลง ถ้าเราเห็นอกเห็นใจกันแบบนี้ ช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันคิด ร่วมมือกันทำ เราก็จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราพูดกันหลายครั้งแล้ว รัฐบาลพร้อมที่จะหามาตรการอื่นๆ ที่สำคัญๆ มาสนับสนุน และแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐคือ ตัวข้าราชการ แล้วก็ฝ่ายประชาชน ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่ทั้งหมดอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้มีความพยายามในการรักษาความเป็นธรรม และสร้างความสุขให้กับพี่น้องประชาชนด้วย 3 มาตรการหลักดังนี้ คือ
1.การดูแลราคาสินค้า ได้มีการออกตรวจสอบราคาสินค้าในตลาดสด ห้างค้าปลีก และร้านค้าปลีกประจำ เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค อันนี้ เราพอจะควบคุมได้บ้าง ต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้า และตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัดสินค้า ให้ได้มาตรฐาน และเที่ยงตรงอยู่เสมอ มีกฎหมายนี้
อันที่ 2.การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกรก็ทำผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ วันนี้ร้านธงฟ้าทันสมัยมาก อยู่ในพื้นที่เองก็เหมือนกับห้างร้านทั่วๆ ไป มีความทันสมัย มีสินค้าที่จำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เข้าไปดูนะครับ มีราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดต่ำกว่าห้างนี่ 15-20% และงานธงฟ้า ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษในปีที่แล้ว ก็ประเมินแล้วสามารถลดค่าครองชีพของประชาชนได้ถึง 430 ล้านบาท
แล้วเรื่องที่ 3.คือการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การส่งเสริมร้านอาหารหนูณิชย์ ที่เน้นสร้างวัฒนธรรมที่ดีของร้านอาหาร คือจะต้องอร่อย คุณภาพดี สะอาด ประหยัด มีการขายอาหารปรุงสำเร็จในราคาประหยัดไม่เกินจาน หรือชามละ 35 บาท ปัจจุบันนั้นมีร้านหนูณิชย์ที่ว่ากว่า 12,000 แห่ง ทั่วประเทศ ที่ไหนยังไม่มีคงจะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการต่อไปและในอนาคตเราจะมีการจัดอันดับหนูณิชย์อร่อยติดดาว ที่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันหนูณิชย์ เพื่อช่วยค้นหาร้านอาหารหนูณิชย์ทั่วประเทศด้วย
เรื่องที่ 5.บทบาทของเอ็นจีโอทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน หากเรายังไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการพัฒนาประเทศของเรา แล้วไม่เข้าใจบทบาทของรัฐคือ คิดเดิมๆ แล้วทำแบบเดิมๆ วันนี้เราเปลี่ยนแปลงมาเยอะแล้ว ในเรื่องของการบริหารจัดการแผ่นดิน ข้าราชการ ระเบียบ กฎหมาย เปลี่ยนแปลงมาเยอะ
เพราะฉะนั้นไม่อยากจะให้มุ่ง แต่ประเด็นในกิจกรรมตนเองเท่านั้น คือจะต้องรักษาให้ได้มากที่สุด จะต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น โดยไม่คำนึงถึงส่วนประกอบของการรักษาในเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือแม้กระทั่งการรักษาสิ่งแวดล้อม คือถ้าเราคิดอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ผูกพันกับเรื่องการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิดอะไรที่แบบตกขอบ มองข้ามประเด็นชนส่วนรวม อะไรที่เป็นวาระแห่งชาติ อะไรเพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทย เราจะต้องมีบทบาทร่วมกันในการที่จะช่วยส่งเสริม ช่วยตรวจสอบแก้ผิดให้เป็นถูก หาทางออกร่วมกัน ถ้าโจมตีอย่างเดียว บางอย่างก็เสียหาย ช่วยกันแก้ดีกว่า ไม่เช่นนั้นก็เหมือนอย่างที่บอก ทุกคนฟังเวลาพูดออกไป ต่างประเทศก็ฟังอะไรก็ฟัง บางครั้งก็ถูกบ้างผิดบ้าง แล้วมันก็ไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ การค้าในที่สุดก็มีปัญหา แล้วท่านมาบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี มันพันไปหมด ไม่ดีตรงไหนก็มาบอกผม ก็แก้ให้หมด
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำตัวกันเป็นจระเข้ขวางคลองเลย หรือไม่ก็ปิดหูปิดตาคัดค้านตลอดเวลา โดยไม่ชั่งน้ำหนัก อย่างที่ผมว่าคือ ทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรีๆ อยากได้อะไรก็ต้องทำเอง รัฐบาลจะช่วยให้เสริมให้ สนับสนุนให้ แต่เราจะทำยังไงให้ได้คุ้มกับที่เสียไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังเมือง เรื่องพลังงาน คุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ถนนหนทาง มันมีปัญหาหมด เพราะว่าเราปล่อยปละละเลย จนกระทั่งประชาชนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ ซึ่งทำให้ทำอะไรไม่ได้ ก็คัดค้านต่อต้านตลอด แล้วก็บอกว่ามีรายได้น้อย แล้วจะให้ทำยังไง เศรษฐกิจดีขึ้นไม่ได้หรอกครับ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันไม่ได้ เราต้องช่วยกันทำให้โครงการที่สำคัญเริ่มโครงการเหล่านี้ไปได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม บางส่วนเสียประโยชน์ก็ต้องช่วยดูแลเขา เยียวยาเขา ท่านไม่ทำอะไรเลยต่อต้านไปแบบนี้รัฐบาลทำไม่ได้ มีโครงการทำไม่ได้ ทุกเรื่องมันเดือดร้อนทีหลัง น้ำท่วม ฝนแล้ง พลังงานไม่พอ แหล่งเก็บกักน้ำก็ไม่เพียงพอ ทำระบบระบายน้ำก็ไม่ได้ ส่งน้ำก็ไม่ได้ แล้ววันหน้ามาโทษรัฐบาลว่ารัฐบาลนี้ รัฐบาล คสช.ไม่ได้ รัฐบาลนี้คิดทุกเรื่อง แล้วเขียนแผนทำโครงการมาทุกเรื่อง มันติดตรงนี้แหละครับ ไปทำตรงไหนก็ติดคนๆ บางที่ก็ไม่ติดคน ติดความคิด ติดความไม่เข้าใจ มันต่อต้านกันอย่างนี้ตลอด แล้วมันจะเกิดได้ยังไง คิด 2 ทางให้ผมบ้าง ขอให้ระลึกเสมอว่า รัฐบาลนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจน มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เปิดเผยทุกโครงการ จะทำอะไรก็บอกก่อนทุกครั้ง คิดแล้วก็บอก คิดแล้วก็แนะนำ คิดแล้วก็สร้างความเข้าใจยังติดขัดเลย ถ้าทำแบบเดิมๆ มันจะยิ่งไปไม่ได้ใหญ่ รัฐบาลนี้คิดอย่างลึกซึ้ง คิดอย่างเชื่อมโยง ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง บางอย่างคิดต้นทางก่อน แล้วไปดูปลายทางว่าต้องการอะไร แล้วมาหาวิธีการทำตรงกลางทาง บางอย่างไปเอาปัญหาปลายทางขึ้นมา จากประชาชนขึ้นมา แล้วคิดย้อนกลับมาถึงต้นทาง แล้วเราจะแก้กลับไปยังไง มันต้องคิดแบบนี้สองทาง จากบนลงล่าง ต้นทางไปปลายทาง แต่ตรงกลางทางสำคัญ วันนี้เราอยู่กลางทางอยู่ตรงนี้ไง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหา จะไม่เกิดขึ้นซ้ำซาก เราอยู่กลางทาง
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ทำเส้นทางตรงนี้ ให้เคลียร์ให้ชัดเจน เดินไปข้างหน้าไปสู่ปลายทาง สิ่งที่เราคาดหวังก็ไม่เกิดขึ้น เราต้องทำให้เกิดความสมดุล และยั่งยืน ขอความกรุณาช่วยกันด้วย ตัวอย่างที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง มันไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย แต่ส่งผลกระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภค มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ การผลักดันน้ำเค็ม มีผลต่อสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อม หากบริเวณปากอ่าวมีน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในบางช่วงเวลาที่เราต้องการน้ำเป็นปริมาณมาก ในการทำการเกษตร มันทำให้น้ำในการผลักดันน้ำเค็มน้อยลง น้ำเข้ามาลึกเรื่อยๆ ดินก็เค็ม
เพราะฉะนั้นเราต้องมีการบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้ดีที่สุด โดยมีการทำอย่างบูรณาการให้เป็นระบบ เราจะหวังน้ำฝนอย่างเดียว บางทีก็ตกบ้างไม่ตกบ้าง ตกมาก ตกน้อย ตกใต้เขื่อน เหนือเขื่อน บางครั้งเราก็คิดว่าเออไปทำฝนเทียม มันก็ได้แต่เพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง บางพื้นที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้ บินไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ฝนก็ไม่ตก ปริมาณความชื้นไม่เพียงพอ ป่าเราน้อยลงนะครับ เหล่านี้มันไม่มั่นคงทั้งสิ้น แล้วจะทำยังไงเราต้องแก้ปัญหาระยะยาวให้ได้ ไม่ใช่แก้ปัญหาระยะสั้นๆ ไปตลอด พอน้ำแล้งก็เอาน้ำไปส่ง พอน้ำท่วมก็ระบายน้ำช่วยเหลือบรรเทาความเสียหาย เราจะต้องบริหารจัดการตั้งแต่ป่าต้นน้ำ ทุกคนต้องช่วยกันดูแล อะไรที่เป็นป่าต้นน้ำ อย่าไปบุกรุก เข้าไปอยู่อาศัย เราต้องช่วยกันปลูกป่าแซม เพิ่มเติมปริมาณต้นไม้ให้มากขึ้น ไม้ยืนต้น เราต้องช่วยเจ้าหน้าที่ ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ถ้าท่านทำผิดกฎหมาย แล้วเจ้าหน้าที่เค้าปล่อยปละละเลย เขาก็ผิด เสร็จแล้ววันหน้าพอจะต้องใช้จริงๆ ขึ้นมา ท่านก็ต่อต้านอีก มันผิดมาตั้งแต่ต้นทาง วันนี้เราต้องไม่ให้มีการบุกรุกป่าเพิ่มขึ้น รักษาที่อยู่นี้ให้ได้ แล้วก็ซ่อมแซมไป ใช้ระยะเวลา เรามีการสร้างฝายชะลอน้ำ เพิ่มเติมแหล่งเก็บกักน้ำ แก้มลิ เขื่อน อย่างที่บอกแล้วมันต้องทำให้ได้ทุกพื้นที่ บางครั้งมันไปไม่ได้เพราะมันติดที่ประชาชนที่ส่วนตัว เหล่านี้ไม่ยอมเสียสละกัน มันก็ไปไม่ได้หมด ฉะนั้นการกระจายของน้ำมันไปทำไม่ได้ ทำให้ไม่สอดคล้องกับการใช้น้ำทั้งสามกลุ่ม เราต้องทำให้เพียงพอ เก็บน้ำให้ได้ บางครั้งเราต้องแลกกับพื้นที่ลุ่ม น้ำท่วมเป็นประจำ แต่ความเสียหายกับสิ่งที่เรารักษาไว้ บุกรุกกันไว้เนี่ย แลกกันไม่คุ้มค่า ผมว่านะ เพราะว่ามันต้องเสียหายไปเรื่อยๆ ท่านก็ต้องย้ายบ้าน ซ่อมบ้านไปตลอด ทุกปีๆ มันคุ้มที่ไหน ถ้าย้ายทีเดียว ไม่ไปขวางทางน้ำ ให้เขาทำทางน้ำ หรือทำระบบส่งน้ำให้ได้ ไปจากบ้าน เสียสละพื้นที่คนละนิดหน่อย มันก็ทำต่อเนื่องได้ มันก็ลงสู่ทะเล หรือลงไปสู่ปลายน้ำ ปลายทางที่คนใช้น้ำได้ทั่วถึง เฉลี่ยให้คนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่ต้นทางของน้ำก็ใช้ทั้งหมดเลย เวลาน้ำน้อย เวลาน้ำเยอะก็รีบปล่อยลงมาข้างล่าง ข้างล่างก็ท่วม มันไม่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลต้องดำเนินการตรงนี้ แต่ประชาชนก็ต้องร่วมมือ เรื่องประสิทธิภาพคูคลอง ทางน้ำ ทั้งธรรมชาติ ทั้งสร้างขึ้น สร้างความเชื่อมโยงให้ได้ ระบบส่งน้ำ ระบายน้ำ อันนี้สำคัญที่สุดเลย เนื่องจากว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม หลายครั้ง ที่ถนน ทั้งรถไฟ หรือว่าชุมชนที่เกิดขึ้นมาใหม่ ไปอยู่กีดขวางลำน้ำเดิมตามธรรมชาติ ผลของการปล่อยปละละเลย แล้วก็ปล่อยให้ประชาชนมีรายได้น้อย จนขยับขยายไม่ได้ เนี่ยมันต้องแก้ตรงนี้ด้วย ถ้าเราไม่วางแผนให้ดี ไม่มีการวางแผนแบบบูรณาการ เช่นในอดีต มันก็จะเกิดปัญหามาถึงปัจจุบันแล้วแก้ยากไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แก้วันนี้
วันนี้อยากให้ทุกคนมาสนใจ ดูผังเมืองที่ออกมาแล้ว วันนี้กระทรวงมหาดไทยเขาทำมาครบทั้ง 77 จังหวัดแล้ว เพราะฉะนั้นไป ดู ว่าผังเมืองใหม่เขาออกมายังไง ซึงเป็นการทำมาด้วยขั้นตอนปกติ ซึ่งที่ผ่านมาผมจำได้ ก่อนผมเข้ามา ทำมาได้ 10 กว่าจังหวัด 18 จังหวัด นี่เข้ามา 2 ปี กว่าๆ เกือบ 3 ปี ทำครบแล้ว ดูสิครับว่ามันต้องแก้ไขขนาดนั้น ทีนี้ลองมาดูสิว่าผังเมืองที่ออกมาแล้วเนี่ย เสร็จแล้วระหว่างที่ทำผังเมืองมันใช้เวลาเป็นปีในการทำ ในระหว่างปีนั้นพอทำต้นปี พอผ่านมาอีกปีบุกรุกเข้ามาอีก ผังเมืองมันต้องแก้ตลอด ให้ทันสมัยตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ต้องขอให้ทุกคนยึดมั่นดีๆ ผังเมืองปัจจุบันคืออะไร แล้วอย่าไปฝ่าฝืนตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ นายทุน เจ้าของที่อะไรต่างๆ ที่เก็งกำไร คิดโครงการอะไรต่างๆ ขึ้นมา ดูผังเมือง ก่อนแล้วก็ผลิตทีหลัง แล้วก็จะมาร้องว่าก็ทำให้เกิดความเดือดร้อน มันไม่ได้ วันนี้เราต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน แล้วก็ข้อสำคัญเราก็ถือว่าเราต้องได้รับความยินยอมจากชุมชนเมืองจากประชาชนด้วย เราไม่อยากใช้อำนาจที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มากจนเกินไป เพราะพี่น้องก็ยากจน รายได้น้อยหลายส่วนด้วยกัน หลายชุมชนเมือง หลายหมู่บ้านหลายชุมชนเมือง หลายหมู่บ้าน มีที่ตั้งทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย บางอย่างก็อยู่ก่อนมา การประกาศผังเดิมหรือพื้นที่ป่า เขา อะไรก็แล้วแต่ มันก็มีปัญหามาทั้งหมด เราก็ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ด้วยรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ อย่าปล่อยให้ซ้ำซากเหมือนเดิม การพัฒนาก็ไม่เกิด
ขอร้องเอ็นจีโอวันนี้ ขอร้องมากหน่อย มันจะได้ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ถ้าคิดจะต่อต้านอย่างเดียวแล้วไม่สร้างสรรค์ ผมว่ามันไม่น่าจะใช่นะ ไม่น่าจะใช่การทำงานที่ถูกต้อง บางทีท่านก็เป็นคนไทย บางทีก็ไปพูดจาเสียหายในต่างประเทศทั้งที่บางเรื่องจริงบ้าง บางเรื่องก็ไม่จริง ส่วนใหญ่ไม่จริงก็เยอะนะ เรื่องจริงก็มีก็แก้กันสิครับ ไม่บอกเราแล้วจะไปแก้กันได้ยังไง ให้ใครมาแก้ล่ะ ให้เขามาบังคับประเทศไทยเหรอ คิดบ้างตรงนี้ ทำเพื่อประเทศชาติกันบ้าง ทุกคนมีเหตุมีผล มีหลักคิด ทำหน้าที่ของตน อย่าให้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาภายในพื้นที่ ถ้าไม่ทำเศรษฐกิจก็ดีขึ้นไม่ได้ เงินทอง รายได้ ก็ไม่หมุนเวียน ไม่กระจาย บางคนก็บ่นว่ารวยเป็นกระจุก จนเป็นกระจาย ก็ไม่ร่วมมือมันก็เป็นอย่างนั้น ก็ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมโยง เสียสละแบ่งปัน ปัญหาน้อยใหญ่ในอดีต มันจะได้รับการแก้ไข อย่างจริงจัง ไม่งั้นแก้ไม่ได้ การแก้ไขนั้นคือแก้ปลายเหตุ มันต้องสูญเสียเงินงบประมาณจำนวนมากมาย ทุกปีๆ น้ำท่วม ฝนแล้ง ก็ใช้เงินมหาศาล แทนที่เราจะเอาเงินเหล่านั้น มาทำทางระบายน้ำ ที่เก็บน้ำ แก้มลิง เขื่อน เยอะแยะไปหมด เสียไปเปล่าๆ พี่น้องก็เสียใจ บางคนก็ มีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจะต้อง สร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ สร้างแนวคิดขึ้นมาใหม่ อย่าไปทำแบบนี้ทุกปีๆ
เรื่องที่ 6. การบิดเบือนข้อเท็จจริง บางทีก็นำเสนอข้อมูลที่เป็นการให้ความหวังที่ผิดๆ นะ ถูกๆไม่เป็นไรหรอก ทุกคนก็ต้องมีความหวัง แต่ถ้าเป็นความหวังที่บิดเบือนผิดๆ หวังผลทางการเมืองบ้าง หวังผลอะไรก็แล้วแต่ ในทางไม่สุจริตหรือทำให้การเมืองระหว่างประเทศมีปัญหา ทำให้สังคมสับสน ทำให้ถูกจับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ผู้คนในประเทศไทยมีความขัดแย้ง ประเทศแตกแยกทางความคิด ไม่มีเสถียรภาพ ทุกอย่างมันก็เละไปหมด กระจัดกระจายไปหมด หลายพรรค หลายฝ่าย หลายกลุ่ม มีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำ ประชาชนก็เหลื่อมล้ำ ความคิดก็เหลื่อมล้ำ นักการเมืองก็แตกแยกกันไปอีก มันก็เลยไปไม่ได้ ยุทธศาสตร์มันก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นมันถึงมียุทธศาสตร์ไงมันถึงจะรวมกันได้ในยุทธศาสตร์ทั้ง 6 อย่าง 6 ข้อที่ว่า
รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ปัญหาทั้งหมด ในเชิงปฏิรูป ในเชิงโครงสร้าง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่อยากให้มีแรงต่อต้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก อย่าบิดเบือนกันนักเลย เขาตรวจสอบแล้ว ตัดสินแล้ว ออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น ศาลก็ต้องเป็นอย่างนั้น องค์กรอิสระก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าทำไมทำแต่ข้างนี้ แล้วข้างนี้ทำผิดข้างเดียวหรือเปล่า อีกข้างเขาทำผิดแล้วเขายอมรับกระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่ ก็ไปเลือกเอาดู ไปคิดดู ฝ่ายไหนผมก็ไม่รู้ ก็คือ ทุกคนต้องรับฟังให้รอบด้าน ตรวจสอบ ความถูกต้อง พิจารณาที่ครบทุกมิติ เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องรอบคอบ เมื่อฟังข้อมูลจนอิ่มตัวแล้ว เราต้องยอมรับความรู้ที่ตกผลึก ตกลงใจร่วมกัน ที่จะเดินหน้าประเทศ
ตัวอย่างอีกอันหนึ่งก็คือเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการ เพราะเป็นหนึ่งในหลายเรื่อง ที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นตามยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันทางสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในการถือครองที่ดิน และเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ได้มอบนโยบายไปแล้ว ว่าการจัดเก็บภาษีมันต้องสร้างความเป็นธรรมสร้างความเท่าเทียม ไม่เป็นภาระกับประชาชนส่วนใหญ่ หรือประชาชนผู้มีรายได้น้อยของประเทศ ในทางกลับกันพี่น้องเหล่านี้จะต้องได้รับประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เช่น ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน หรือมีสวัสดิการที่ดีขึ้น เพราะรัฐมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ก็จะลงทุนในอนาคตได้มากขึ้นเหล่านี้เป็นต้น ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ก็อยากจะให้ท่านช่วยกันเสียสละนะครับ มองเห็นความตั้งใจจริงของรัฐบาล วันนี้เสียภาษี อาจจะเสียมากขึ้น วันหน้าราคาที่ดินก็สูงขึ้นเอง แล้วบางอย่างก็ท่านได้เผื่อแผ่แบ่งปัน ให้ประชาชนได้เช่าได้มากขึ้น แต่คนมาเช่าที่ก็ต้องรักษากติกา เมื่อเจ้าของที่เขาจะใช้ที่ก็ต้องคืนให้เขา เพราะเราเช่าเขามา เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาตลอด ในการสร้างความเท่าเทียมและก็สร้างโอกาสให้กับพี่น้องคนไทย เราต้องการให้มีที่ดินเป็นของตนเองทุกคนด้วย
เรื่องที่ 7. การกระจายอำนาจ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ หลายคนหลายพวก หลายฝ่ายก็พูดอยู่เสมอ กระจายอำนาจๆ ทุกคนต้องเข้าใจว่ามันคืออะไร กระจายอำนาจ ต้องทบทวน หาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของความจริงว่า หากเราพูดถึงการกระจายอำนาจว่าคือการปกครองตนเอง การบริหารจัดการตนเอง ทุกเรื่อง มีงบประมาณเป็นของตนเอง ส่วนกลางก็ไม่ต้องมายุ่งมากนัก เพราะประชาชนรู้ปัญหาของพื้นที่ดี ผมถามว่าแล้วมันทำได้หรือยังเวลานี้ มันยังไม่พร้อมตอนนั้น เพราะเราก็ได้อยู่ในวาระเปลี่ยนผ่านมานานพอสมควรแล้ว ที่มีราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น หลายคนบอกว่า บ้านของเรา จังหวัดของเราเก็บภาษีได้เยอะแยะ ทำไมต้องไปแบ่งคนอื่นด้วย คิดแบบนี้ไม่ได้นะ ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นรายได้ทั้งหมดก็ต้องมารวม แล้วก็มาที่ส่วนกลางแล้วก็แบ่งปันไปจังหวัดอื่น ซึ่งบางจังหวัดรายได้เขาน้อย เราก็ต้องไปดู การเก็บภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน อันนั้นเป็นเรื่องของท้องถิ่น วันนี้ก็เก็บกันไม่ค่อยได้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูกันอีกทีว่าเดี๋ยวกฎหมายตัวนี้ออกมาแล้วมันจะเก็บกันได้ยังไง ก่อนอื่นต้องไปทำกฎกติกาอีกเยอะแยะเพื่อจัดเก็บให้ได้ เมื่อเก็บได้ งบของท้องถิ่นก็จะมากขึ้นเอง เมื่อมากขึ้นเองส่วนกลางที่ต้องเอาเงินไปสนับสนุน ก็จะได้ลดน้อยลง เอาเงินไปทำอย่างอื่น วันนี้มันสับสนอลหม่านพอสมควร แก้มาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นก็อยากให้ปรับปรุงประสิทธิภาพตัวเองด้วย ท้องถิ่นอย่าเรียกร้องอย่างเดียว ถ้าท่านแสดงให้เห็นได้ว่าท่านเข้มแข็งทั้งหมด ทั้งประเทศแล้วค่อยไปว่ากันใหม่วันหน้า วันนี้เอาที่เดิม ทำให้ได้ก่อน ทั้งการทำงาน ประสิทธิภาพ การทุจริต ไม่โปร่งใส ผมไม่ได้ว่าทุกที่นะครับ หลายพื้นที่หลายแห่งมีปัญหา แล้วก็ยังแก้ไขไม่ได้ ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทำให้ใช้จ่ายงบประมาณไม่คุ้มค่า ประชาชนไม่พึงพอใจ การพัฒนาองค์กรก็ไม่พร้อม ทั้งคน องค์กร ความรู้ กระบวนการทำงาน หลายคนก็อ้างว่าประชาธิปไตยต้องเป็นแบบนี้ๆ ผมถามว่า ประชาธิปไตยที่คนไม่พร้อม จะทำอย่างไร มันต้องเตรียมคนให้พร้อม วิธีการให้พร้อม ประสิทธิภาพให้พร้อม มันถึงจะเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ว่าโดยสมบูรณ์สากล ที่เหมือนนานาประเทศ อารยประเทศ เขาทำไปแล้ว เราเตรียมตัวพร้อม ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ต้องเหน็ดเหนื่อย รัฐบาลก็พยายามจะช่วย เอาปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อน ทำให้เกิดความสมบูรณ์ให้มากที่สุด รัฐบาลไหนก็ทำไม่ได้ ถ้ายังไม่แก้ไขตัวเอง ไม่ปรับปรุง รายได้ประเทศก็มีไม่มี ไม่พอ มันพันทั้งหมด เราต้องแก้ปัญหาระยะยาว อย่าไปแก้ปัญหาระยะสั้น แล้วมันทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา ระยะยาวมันก็เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก เรียกว่าบริหารแบบไม่มียุทธศาสตร์
รัฐบาลนี้กำหนดภารกิจที่เหมาะสม และมอบหมายในการทำงานของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น รวมทั้ง กำหนดแนวทางการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐไว้แล้วด้วย วันนี้ก็เข้าไปลึกมาก ในการทำงานถึงข้างล่าง เพื่อจะได้แนะนำเป็นแนวทาง เพื่อวันหน้าท่านจะได้บริหารจัดการได้เหมาะสม หรือสอดคล้องกับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ช่วยยกระดับระบบการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย รับผิดชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้ประชาชนมีส่วนร่วม
เรื่องที่ 8 การทำงานที่ยังไม่บูรณาการอย่างแท้จริง เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งรู้และไม่รู้ หรือโดยวัฒนธรรมในองค์กร ทั้งระบบงบประมาณ มีการแทรกแซงจากใครก็แล้วแต่ ฝ่ายการเมืองหรือผู้มีอำนาจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กล่าวอ้างกัน หรือการขาดธรรมาภิบาลของหัวหน้าหน่วยงานเหล่านี้ เป็นต้น
ข้อจำกัดเหล่านั้นมันติดอยู่ที่ตัวเองนั่นล่ะ ผมอยากให้ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ ภาคธุรกิจ เอกชน ทั้งหมด ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน ว่าอะไรที่เป็นนโยบาย อะไรที่จะต้องประชารัฐ อะไรที่ต้องบูรณาการ มันก็ต้องทำให้ได้โดยการบูรณาการ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำแล้วมันเกิดผลเสีย วันนี้ วันหน้าเสียมากกว่านี้ เป็นอุปสรรคมากกว่านี้ เราต้องทำให้ได้โดยเร็ว ถ้าคิดแบบเดิมมันก็จะติดทุกอัน ปลดล็อกไม่ได้ ปัญหาอุปสรรคมันติดที่ตัวเองก่อน ความคิดตัวเองก่อน แล้วก็เอากฎหมายมาว่าต่อ เสร็จแล้วก็ไปไม่ได้เลย คิดก็ไม่ได้ กฎหมายก็ติด ผมเข้ามาวันนี้ผมเข้ามาแก้ปัญหานี้ ให้เกิดการบูรณาการ ประสานสอดคล้อง รัฐบาลก็ตั้ง ป.ย.ป. คณะกรรมการเชิงยุทธศาสตร์ PMDU มาขับเคลื่อน มีมาตรา 44 แก้ปัญหาให้ แล้วไม่ทำวันนี้ จะทำเมื่อไร ผมถามหน่อยเถอะ
ต้องแก้ปัญหาให้ได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน อะไรก็ตามที่เป็นงานตามพันธกิจ ก็ต้องทำให้ได้ตามแผนงาน อันนี้คือตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง เดิมทำงานแบบนี้อย่างเดียว พันธกิจ ของบประมาณมาแล้วก็ทำตามหน้าที่ของกระทรวง ไม่ใช่ มันต้องไปดูความต้องการของพื้นที่ ของประชาชนด้วย นั้นคือ Area Based ก็คือพันธกิจนี่แหละ ให้มันทำให้ครบซะก่อน จากนั้นก็มาสร้างความเชื่อมโยงด้วยการบูรณาการทำให้มันใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น จากถนนหนึ่งเลน เป็นสองเลน เป็นสามเลน เป็นสี่เลน เชื่อมต่อกันให้มากขึ้น เชื่อมต่อ ไม่ใช่สัญจรไปมาอย่างเดียว ไปเชื่อมต่อเรื่องเศรษฐกิจ การขนส่ง การคมนาคม การท่องเที่ยว คิดให้มันกว้างแบบนี้ มันถึงจะเกิดงานในพื้นที่ที่เรามองอยู่เป็น Area Based เพื่อจะยกระดับคุณภาพชีวิต
เพราะว่าอย่างไรก็ตามทุกประเทศในโลกก็ยังมีระบบราชการอยู่ ที่จะเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนประเทศ เชื่อมโยงกลไกประชารัฐ ซึ่งก็เหมือนเป็นระบบกล้ามเนื้อ ถ้ากล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ หรือล้า ไม่เข้มแข็ง ประเทศชาติก็เดินไม่ได้ แข่งขันกับใครก็ไม่ได้ เหมือนวิ่งไปแล้วก็สู้เขาไม่ไหว เดี๋ยวซ่อมๆ เดี๋ยวพัก มันก็หลุดขบวน โลกศตวรรษที่ 21 แล้วไม่สามารถที่จะเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับพี่น้องประชาชนได้เลย
ตัวอย่างหนึ่ง ความพยายามของกระทรวงแรงงานที่ต้องการจะใช้กลไกประชารัฐเพิ่มคุณภาพชีวิตลูกจ้าง ลดอุปสรรคการค้า ในอุตสาหกรรมประมงทะเล อุตสาหกรรมสัตว์ปีก โดยมีการแก้ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน การค้ามนุษย์ ในกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ได้ ด้วยการนำศาสตร์พระราชา เรื่องการมีส่วนร่วมสร้างกลไกประชารัฐ ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมาคมผู้ผลิตสินค้าประมงและปศุสัตว์ต่างๆ ในการจัดทำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายแรงงานของประเทศ เช่น การไม่ละเมิดสิทธิแรงงาน ไม่ใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมาย ไม่ค้ามนุษย์ รัฐบาลนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติเหมือนกัน ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามมาตรฐานแรงงานสากล ควบคู่ไปกับการเสริมศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบการไทย เสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทยในเวทีการค้าโลก และก็ประเทศไม่ต้องสูญเสียรายได้กว่า 130,000 ล้านบาทต่อปีด้วย
จากประเด็นปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่า สิ่งที่ รัฐบาลและ คสช. คิดและทำเพื่อคนจำนวนมาก ก็คือเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกพื้นที่ ไม่เลือกจังหวัด ไม่เลือกตำบล อำเภอ มันมีใหญ่ตรงโน้น ตรงนี้ กลางตรงนี้ เล็กตรงนู้น มันก็เสริมกันไปกันมา มันก็เกิดทั้งประเทศ ถ้าทำไม่ได้ ทำไม่สำเร็จ มันก็ไม่เกิดความยั่งยืน ถ้าเราทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศ ที่ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดีอยู่แล้ว ถ้าทุกคน ทุกฝ่าย ไม่เข้าใจกัน ไม่ร่วมมือกัน มันก็เป็นความรับผิดชอบร่วมกันในผลงาน ในผลกระทบที่จะเกิดจากปัญหาเหล่านั้นต่อไป น้ำท่วม น้ำแล้ง ปราศจากการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ การเก็บสำรองน้ำ และการระบายน้ำ ทำไม่ได้ ราคาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ ไม่มีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืช ไม่มีการทำเกษตรแปลงใหญ่ ไม่มีการพัฒนาไปสู่สินค้า GAP หรือสินค้าอินทรีย์ หรือพัฒนานวัตกรรม เหล่านี้ไปไม่ได้ทั้งหมด แล้วแถมด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน ต่างคนต่างอยู่ ธุระไม่ใช่ เรียกร้องอย่างเดียวเจ้าหน้าที่ก็ทำงานไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าทำ ติดกฎหมาย
มันต้องคิดใหม่ทั้งหมด ความขัดแย้ง ไม่ยอมกันบ้าง ไม่รับฟังกันเลย คิดแต่ตัวเองเป็นหลัก ทำของตัวเองให้ดี แต่ปรากฏว่าไปทำให้คนอื่นเสียหายด้วย มันต้องคิดด้วยกัน บูรณาการด้วยกันทั้งหมด เราต้องคิดถึงชาติ ประเทศไปด้วย สอนให้คนรู้จักเสียสละแบ่งปัน อย่างทำงานลูบหน้าปะจมูก เอาดีแต่เพียงคนเดียว ฝ่ายเดียว ไม่ได้ มันต้องบูรณาการเหมือนที่รัฐบาลกำลังทำเวลานี้ ใช้วิสัยทัศน์ ปฏิรูปตัวเองเสมอ ทุกอย่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด ถ้าไม่ทำมันก็ไม่เปลี่ยนแปลง บ้านเมืองก็หยุดอยู่ที่เดิม
พี่น้องครับ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าอีกอัน ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ผมได้ไปพบพี่น้อง ทั้งนักวิชาการ ทั้งนักศึกษา แล้วก็นักวิจัยอื่นๆ มีการกล่าวปาฐกถา ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มีเรื่องเล่าให้ฟัง เรื่องที่ 1 คือการจัดนิทรรศการด้านเกษตรกรรมและนวัตกรรม นำผลงานวิจัยที่นำออกเผยแพร่ใช้ประโยชน์แล้ว และมีผลงานวิจัยที่พร้อมขยายผลในเชิงพาณิชย์ จำนวนกว่า 50 ผลงาน ซึ่งหลายผลงานเป็นงานวิจัยที่จะช่วยต่อยอด เพิ่มมูลค่าและรายได้ให้แก่เกษตรกร เช่น พืชพันธุ์ใหม่ ที่มีคุณภาพ ราคาสูง ให้ผลผลิตสูง เป็นเมล็ดพันธุ์ชนิดใหม่ ใช้น้ำน้อยในการเพาะปลูก เช่น พันธุ์ผักคุณภาพดี สมุนไพร ที่รับรอง มีสารออกฤทธิ์สูง และไม่มีสารพิษเจือปน เหมาะใช้ในการทำอุตสาหกรรม และพันธุ์สัตว์ ที่มีการเสนอสายพันธุ์โคเนื้อคุณภาพสูง ลูกผสมพันธุ์กำแพงแสน วากิว เป็นเนื้อคุณภาพดี เป็นทางเลือกให้เกษตรกร พัฒนาผลิตผลการเกษตรที่มีคุณภาพดีไว้ได้ เป็นต้น
เรื่องที่ 2 การพัฒนาเกษตรกรให้เป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ ให้เข้าสู่ยุค 4.0 มีการบริหารจัดการการผลิตโคเนื้อคุณภาพสูง เกษตรแปลงใหญ่ แอปพลิเคชันสำหรับเกษตรกรในการพัฒนาชุมชน การบริหารจัดการการปลูกข้าว การใช้ปุ๋ยสั่งตัด การเลี้ยงปลาแบบแม่นยำสูง อีกหลายอย่าง ซึ่งมีเกษตรกรนำไปใช้แล้วได้ผลดี รวมทั้งมีการพัฒนาหลักสูตรศาสตร์แห่งแผ่นดิน สำหรับพัฒนาเกษตรกรให้ปรับตัวเข้ากับการเกษตร 4.0 เพื่อนำผลผลิตไปสู่การแปรรูปต่างๆ ในยุค 4.0 ให้มีราคาของต้นทางที่สูงขึ้น จะทำยังไงก็ต้องช่วยกันคิดนะครับ เพื่อจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศอีกด้วย
3. การพัฒนาระบบสารสนเทศ สำหรับการจัดการการเกษตร ได้แก่ ศูนย์กลางข้อมูลความรู้การเกษตรแห่งชาติ เพื่อรวบรวมความรู้ทางด้านการเกษตร ในรูปแบบดิจิตอลสำหรับเกษตรกร ใช้ง่ายๆ ครอบคลุม
4. การวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับนำมาใช้เองในประเทศ รวมทั้งส่งออกเทคโนโลยีไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ที่มีมูลค่า เช่น การพัฒนาชุดทดสอบสารก่อภูมิแพ้ การผลิตวัคซีนสำหรับปลาและสุกร การสร้างเครื่องวิเคราะห์ปริมาณน้ำมันในผลปาล์มอย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำสูง และเครื่องปลูกข้าวสำหรับนาประณีตและนาแปลงใหญ่ เป็นต้น
5. การวิจัยเพื่อต่อยอดทางการเกษตร โดยการแปรรูปอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น แผ่นควบคุมน้ำตาล ต้านอนุมูลอิสระ อาหารผู้สูงอายุ ที่มีภาวะอ้วน ผลิตภัณฑ์ข้าวแปรรูปต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า และการพัฒนาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เป็นการนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง หากขยายผลออกไป ก็จะช่วยพัฒนาคุณภาพ สร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในภาคการเกษตร เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากงานวิจัยแล้ว ยังมีการวางรากฐานด้านข้อมูลต่างๆ เพื่อสนับสนุนและใช้ต่อยอดงานวิจัยในอนาคตอีกด้วย ทางมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์ ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO : เบโด้) ในการจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินชีวภาพสำหรับพืชชนิดต่างๆ รวมทั้งร่วมเครือข่ายกับ สวทช. และกรมวิชาการเกษตร ในการสร้างธนาคารเชื้อพันธุ์พืชระดับชาติ เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทย ให้เกิดเป็นผลิตผลการเกษตรชนิดใหม่ เช่น เห็ด รา สมุนไพร เราอาจจะนำไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น
พี่น้องประชาชนครับ สิ่งที่น่าสังเกต งานวิจัยที่ผมไปสัมผัสมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วันนั้น หรือที่อื่นก็ตาม หลายๆ ชิ้น มีคุณภาพดีมาก และก็ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่หลายอย่างก็รอ อยู่ระหว่างรอการขยายผล ซึ่งหากเราสามารถเร่งรัดตรงนี้ได้ นำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ก็สามารถจะเป็นแรงขับเคลื่อนประเทศได้
ซึ่งขณะนี้ทางมหาวิทยาลัยฯ ได้เสนอรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัย การเผยแพร่งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง นำงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเอสเอ็มอี การสร้างเวทีที่ส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกัน ระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่อการเกษตรร่วมกันทุกภาคส่วน ซึ่งก็ตรงกับแนวทางของรัฐบาล ที่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมด้วยงานวิจัยในทุกๆ ด้าน เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งรัฐบาล กำลังเร่งรัด เรื่องขึ้นทะเบียนการรับรองมาตรฐาน มอก. อย. เพื่อนำสู่การผลิตใช้งานให้ได้โดยเร็ว ปัญหาส่วนนั้นก็มีอยู่แล้วก็ มีเหมือนกัน ไม่ทัน ช้า เสียเวลา คนไม่พอ ต้องไปแก้ตรงนั้นด้วย เช่น ในเรื่องของการขึ้นบัญชีวันนี้ก็ขึ้นไปหลายอย่าง ถ้าขึ้นบัญชีกันแล้ว แล้วไปผ่านมาตรฐาน ก็สามารถไปผลิตจำหน่ายได้ ใช้ได้ มันจะเป็นกลไกในการเชื่อมโยง บัญชีนวัตกรรมไทยที่ว่านี้ งานวิจัยกับเอกชนผู้ผลิต
ที่ ครม. ครั้งที่ผ่านมาที่ผมก็เร่งรัดทุกหน่วยงานไปรวบรวมงานวิจัย จากทั้งของรัฐ ของสถานศึกษา ของภาคธุรกิจเอกชน ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนที่มีศักยภาพ เราก็จะนำไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ได้มาตรฐาน และไปหาแก้ไขอุปสรรค เหตุติดขัดทั้งหมด ให้ทำให้ได้โดยเร็ว รวมทั้งเราก็ต้องมาดูเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้วิจัยด้วย หรือองค์กรของผู้วิจัย ว่าทำอย่างไรเขาจะมีรายได้ ที่เป็นกำลังใจ จูงใจให้เขานำมาผลิตผลงานใหม่ๆ ออกมา ทำงานวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับประเทศไทยของเรา ให้มีความเจริญเติบโตยิ่งๆ ขึ้นไป
วันนี้พูดเยอะหน่อยนะครับ ก็หลายเรื่องด้วยกัน ก็คงต้องทำความเข้าใจกันหลายเรื่อง เพราะบางเรื่องมันสลับซับซ้อนและก็ต้องทำหลายอย่างด้วยกัน ผมอยากจะสร้างความเข้าใจเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งรำคาญเลย เพราะถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอะไร และพอใครไม่หวังดีมาพูดอะไร มันก็ทำให้งานของรัฐบาลที่กำลังทำอยู่ช้าลง ช้าลงโดยไม่มีเหตุมีผล ขอร้องพี่น้องประชาชนนะครับกรุณาช่วยกันตั้งความหวังแบบผม เหมือนผม ว่าเราจะต้องมีประเทศไทยที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ขอขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ขอให้เกิดความปลอดภัยในการเดินทาง ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง การบังคับใช้กฎหมายด้วย ทั้งวันนี้และวันหน้า อย่าให้มีผลกระทบซึ่งกันและกันอีกเลย และมีการบาดเจ็บสูญเสียมาก ไม่ว่าจะวันใด มันก็ทำให้ครอบครัวเสียใจทั้งสิ้น ผมก็เสียใจไปกับท่านด้วยเหมือนกัน ในฐานะเป็นผู้นำรัฐบาล ขอบคุณนะครับ สวัสดีครับ