xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 มีนาคม 2560

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

..

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สำหรับวันศุกร์สุดสัปดาห์นี้ ผมมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งรวมถึงศาสตร์พระราชา และผลงานที่มีคุณค่าน่าภาคภูมิใจ ควรแก่การที่พวกเราจะต้องสืบสานต่อ แล้วก็มีหลายเรื่องที่อยากชวนให้ทุกท่านคิดตาม หลายเรื่องที่จะมาเล่าให้กันฟังในวันนี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้ไปเป็นประธาน ในพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศ สำหรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมทั้งได้ตรวจเยี่ยมแล้วก็ติดตามการดำเนินงานต่างๆ ณ โรงขยายแบบอาคารวิธานสถาปกศาลา ที่ได้คืบหน้าไปมาก ตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการออกแบบ แล้วก็สร้างสรรค์งานศิลปะชั้นสูงจากช่างสิบหมู่ของไทย ซึ่งเป็น 10 หมู่ของงานช่างศิลป์ ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ สืบสาน ถ่ายทอด ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยสืบไป อันได้แก่ ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น ช่างรัก ช่างบุ และช่างปูน ผมเองก็อยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้ร่วมกันภาคภูมิใจในความเป็นชาติ จารีตประเพณี และเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่งดงาม ผ่านงานศิลปะเหล่านี้ ที่สำคัญก็คือเป็นการถวายความจงรักภักดี อย่างไม่มีวันเสื่อมคลายแด่ พ่อของแผ่นดิน ของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของฉากบังเพลิง ที่ใช้เป็นเครื่องบังลมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงนี้ ยังได้บรรจุเล่าเรื่องราวศาสตร์พระราชา ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไว้ด้วย โดยแบ่งออกเป็น 4 หมวด ได้แก่ 1. คือเรื่องดิน เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา 2.คือเรื่องน้ำ เช่น โครงการฝนหลวงและกังหันน้ำชัยพัฒนา 3.เรื่องลม เช่น โครงการช่างหัวมัน และกังหันลม และ 4. เรื่องไฟ เช่น โรงงานผลิต ไบโอดีเซลและกังหันน้ำผลิตไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ไว้ได้อย่างงดงาม ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร และอาสาสมัครช่างทั้ง 10 หมู่ ในการที่มาร่วมกันถวายพระเกียรติสูงสุดแด่พระองค์ แสดงถึงความรัก ความผูกพันของปวงชนชาวไทย ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา อีกชิ้นงานศิลปะเพื่อเทิดพระเกียรติอันน่าชื่นชม

ผมขอเอ่ยถึงจิตรกรน้อย คือ เด็กชายวชิรวิทย์ สามารถ หรือน้องอามานี่ มีอายุเพียง 10 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนขจรเกียรติพัฒนา จังหวัดภูเก็ต ซึ่งก็เคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ น้องอามานี่ นั้นได้บรรจงสร้างสรรค์งานศิลปะ ในศาสตร์ที่ตนเองรัก โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียนถึง 50 วัน ในการวาดภาพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงาม แล้วก็ให้ชื่อว่า พระราชาของอามานี่ ที่สวยงามและมีคุณค่าทางจิตใจ สมควรได้รับความชื่นชม ในศิลปะอีกสาขาหนึ่ง ผมขอแสดงความยินดี กับความสำเร็จของคนไทยรุ่นใหม่ อันได้แก่ คุณประสานสุข วีระสุนทรช คุณณัฐ มินทราศักดิ์ และคุณรัตนินทร์ ศิรินฤมาน ที่เป็นทีมงานของภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Zootopia ที่ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง Oscars สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม ปี 2017 ผมถือว่าเป็นอีกความสำเร็จหนึ่ง และความภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน ในระดับโลก รวมทั้งแต่ละคน ก็ยังอยู่เบื้องหลัง ภาพยนตร์ แอนิเมชั่นคุณภาพ อีกมากมายด้วย ทั้ง 2 ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าคนไทยนั้น ไม่ได้มีความสามารถน้อยกว่าหรือด้อยกว่าชาติใดในโลก คนไทยมีศักยภาพในทุกๆ ด้าน เพียงแต่เรา ครอบครัว สังคม และรัฐบาล จะต้องร่วมกันส่งเสริมให้ถูกทาง ให้เยาวชนไทยมีเวทีการแสดงออก แสดงความคิดและแสดงความสามารถ รวมทั้งมีการต่อยอดให้กับเขา ให้ไปจนสู่จุดที่สูงที่สุดหรือประสบความสำเร็จ

สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจังหวัดศรีสะเกษ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวศรีสะเกษ น่ารักทุกคนให้การต้อนรับผมและคณะอย่างอบอุ่น จริงใจแล้วก็เป็นกันเอง นอกจากจะไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนแล้ว ก็ทราบถึงปัญหาและความยากลำบาก ผมก็ยังได้มีโอกาสติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา รวมถึงได้รับฟังการดำเนินโครงการต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของภาครัฐ ว่าเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนอย่างไรบ้าง เพราะรัฐบาลกำหนดไปแล้ว หรือให้ไปแล้ว มีข้อติดขัดใด ที่จะต้องให้ส่วนกลางช่วยแก้ปัญหา ผมก็อยากจะเรียนว่า ภาครัฐก็ได้เข้าไปส่งเสริมการทำงานต่างๆ ภายใต้โครงการประชารัฐ ในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ก็เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยได้รวมตัวกัน เพื่อผลิตสินค้าเกษตรร่วมกัน มีการบริหารจัดการร่วมกัน ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และเอกชน ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การจำหน่าย แล้วก็การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า ให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ รวมทั้งมีอำนาจต่อรองในตลาดให้มากยิ่งขึ้น

ในปี 2560 นี้ จังหวัดศรีสะเกษ จะจัดให้มีการส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 75 แปลง ครอบคลุมพื้นที่ 22 อำเภอ มากกว่า 150,000 ไร่ และมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 13,080 ราย ซึ่งก็จะช่วยให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการผลิตผลสอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีต้นทุนการผลิตที่รวมถึงต้นทุนปุ๋ยและยา ลดลง คุณภาพผลผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมได้เข้าเยี่ยมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนอุ่มแสง ที่กลุ่มเกษตรกรได้รวมตัวกันเป็นวิสาหกิจชุมชนและน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ด้วยการลดต้นทุนการปลูกข้าว ควบคู่ไปกับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการบริหารความเสี่ยงโดยได้มีการส่งเสริมอาชีพที่ให้รายได้เร็ว เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่ว เกษตรกรกลุ่มนี้ได้ดำเนินงานภายใต้การสนับสนุนที่เข้มแข็ง จากเกษตรอำเภอและเกษตรจังหวัด ในการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อแก้ปัญหาการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพง โดยได้มีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพเอง เพื่อลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการแปรรูปข้าวอินทรีย์ เพื่อเพิ่มช่องทางการขายข้าว ทั้งในและต่างประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน ซึ่งในวันนี้ภาครัฐก็ได้จัดนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร เข้าไปให้คำปรึกษาและฝึกอบรมเกษตรกร เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่มด้วย เพื่อให้มีการดำเนินงานได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นตัวอย่างให้กับกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ ในการร่วมกับภาครัฐเพื่อพัฒนาตนเองต่อไป

ผมได้มีโอกาสพบกับนายบุญมี สุระโคตร หรือที่เรียกว่า ลุงบุญมี ที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มเกษตรกรภายใต้วิสาหกิจชุมชนนี้ ลุงบุญมี นั้นได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ควบคู่ไปกับการหวนคืนสู่การปลูกข้าวแบบอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุนและสร้างความยั่งยืน เน้นลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี โดยลุงบุญมี ได้เริ่มจากที่นาของตนเองและชักชวนเพื่อนเกษตรกรให้เข้าร่วมเป็นกลุ่มเกษตรทิพย์ ปัจจุบันมีสมาชิก 213 ราย ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกกว่า 1,000 ไร่ และยังเข้าร่วมกับ บริษัทสยามคูโบต้า ในการจัดทำการเกษตรครบวงจร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มด้วย นอกจากนั้นลูกๆ ของลุงบุญมี ที่เป็นบัณฑิตปริญญาเอก และปริญญาโทด้านเคมี ก็ได้เข้ามาช่วยงานของลุง ร่วมงานกับศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่เป็นศูนย์ของเกษตรกรต้นแบบที่ให้ความรู้ในเชิงวิชาการ และการบริหารจัดการด้านต่างๆ ให้แก่ เกษตรกร ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐของกระทรวงเกษตร ปัจจุบัน มีอยู่ถึง 882 ศูนย์ทั่วประเทศ ที่สำคัญที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการในทุกพื้นที่ก็คือการสนับสนุนพี่น้องเกษตรกร ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ สำหรับจังหวัดศรีสะเกษนั้น ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมในการแก้ปัญหา ทั้งในเรื่องของการเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักชั่วคราวในอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง โดยได้เสริมกระสอบทรายให้สูงขึ้นเพื่อกันน้ำล้น สำหรับอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ก็ให้เสริมความสูงสันฝายด้วย นอกจากนั้นยังช่วยส่งเสริมให้มีการปลูกพืชใช้น้ำน้อย เตรียมเครื่องสูบน้ำพร้อมใช้งานให้พร้อมตลอดเวลาด้วย สิ่งที่ผมเห็นในพื้นที่และมีความประทับใจก็คือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ยิ้มแย้มแจ่มใส และความตั้งใจของทุกฝ่าย ทั้งภาคประชาชน ภาครัฐ และแกนนำท้องถิ่น ในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนประกอบสัมมาชีพ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ วางรากฐานอนาคต สร้างรายได้ให้กับตนเองและประเทศชาติ ผมก็จะนำสิ่งเหล่านี้ที่ไปพบไปเห็น ในครั้งนี้มาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการทำงาาน เพื่อจะสร้างการเปลี่ยนแปลง และเสริมพัฒนา และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่ให้มากที่สุดเลย

นอกจากนี้ การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อย เป็นสิ่งที่รัฐบาล และ คสช.ให้ความสำคัญอยู่เสมอ จากข้อมูลการลงทะเบียน เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปีที่ผ่านมา ปีนี้กำลังจะให้ลงเพิ่ม มีพี่น้องประชาชนกว่า 7 ล้านคนมาลงทะเบียน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 70 มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และเกษตรกร ซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า 4 หมื่นบาทต่อปี และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือกว่าร้อยละ 20 ของผู้ลงทะเบียนเป็นหนี้นอกระบบเฉลี่ยรายละกว่า 65,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน นับว่าเป็นภาระหนัก และยากที่จะกลับมายืนบนลำแข้งตนเองได้ ถ้าหากว่ารัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะช่วยพอให้ลืมตาอ้าปากได้ก่อน มันก็ลำบากนะครับ

ทั้งนี้ จึงเป็นที่มาของโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ที่เราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ในการที่จะร่วมกันแก้ปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้ และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปด้วยอย่างเป็นระบบ ครบวงจร และต่อเนื่อง กลุ่มแรก 5 มิติก็คือ การดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย การเพิ่มช่องทางเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้นอกระบบ และประชาชนทั่วไป 3.การลดภาระหนี้นอกระบบ โดยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ 4.การเพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีความมั่นคงทางการเงิน ด้านการประกอบอาชีพ และมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจะให้ลูกหนี้มีรายได้ที่เพียงพอ และไม่กลับมาเป็นหนี้ซ้ำอีก

และ 5.คือการร่วมมือกันพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชน ให้ทำหน้าที่ทดแทนเจ้าหนี้นอกระบบ และการให้หน่วยงานของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานพี่เลี้ยงสนับสนุนเงินทุนให้กับองค์กรการเงินชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง รวมทั้งให้ความรู้ทางการเงินให้แก่ประชาชนในชุมชนเหล่านี้เป็นต้น ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลปัญหามาอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้สินเชื่อผ่านกองทุนหมู่บ้าน โครงการยกระดับศักยภาพของหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล หรือมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานราก เหล่านี้เป็นต้น ทำมาหลายอย่างนะครับ ซึ่งล้วนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ครบถ้วนเป็นระบบ และสอดคล้องในทุกระดับ อยากให้พี่น้องประชาชนติดตามข่าวสารจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จะได้ไม่เสียโอกาส

สำหรับภาคเกษตรกรรมนั้น รัฐบาลได้สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กลไก ประชารัฐ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในการที่จะพัฒนามาตรฐาน Thai GAP ที่เป็นการใช้มาตรฐานเพื่อสร้างระบบผลิตผัก ผลไม้ ปลอดภัยครบวงจร ที่อ้างอิงวิธีปฏิบัติตามมาตรฐาน Global GAP ที่เป็นสากล โดยกำหนดระบบควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูก ดิน เมล็ดพันธุ์ น้ำ ปุ๋ย การจัดการศัตรูพืชให้มีความปลอดภัยต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการผลักดันงานวิจัย และเทคโนโลยีไปสู่ภาคเกษตร

ปัจจุบันนั้นกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้นำนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญลงไปในพื้นที่ให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ เช่น โรงเรือนปลูกอัจฉริยะที่เราสามารถควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นให้เอื้อต่อการเจริญเติบโตของผัก ผลไม้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีในการเร่งโต หรือกำจัดศัตรูพืช

วันข้างหน้านะครับ ถ้าหากว่าเกษตรกรได้รับรองมาตรฐาน ThaiGAP แล้ว จะได้รับคิวอาร์โค้ดประจำตัว เพื่อที่ผู้บริโภคจะสามารถสแกนโค้ด เพื่อตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของผลผลิต วิธีการปลูก และกระบวนการต่างๆ ได้ ก่อนมาถึงมือผู้บริโภค ซึ่งก็ถือเป็นการยกระดับการผลิตในภาคเกษตรให้ก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 และจะยังช่วยให้ผู้บริโภคยุคใหม่ หรือคนไทย 4.0 ได้หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น ในการบริโภคผัก ผลไม้ปลอดสาร หรือผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มากขึ้นอีกด้วย

ในการดำเนินโครงการนี้รัฐบาลจะเข้ามาส่งเสริมตั้งแต่ต้นทาง การผลิต กลางทาง การแปรรูป ผลิตผลที่มีคุณภาพ และมีการผ่านการรับรองมาตรฐาน และปลายทางคือการตลาด และการขนส่ง เสิร์ฟให้ถึงมือผู้บริโภค ด้วยความมั่นใจในความปลอดภัยในสุขภาพ ซึ่งเกษตรกรยุคใหม่จะต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ประกอบการด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตของตนเอง สร้างรายได้อย่างครบวงจร ลดรายจ่าย ในเบื้องต้นมีผู้ประกอบการได้รับการรับรองมาตรฐานนี้แล้ว 26 ราย และตั้งเป้าหมายจะพัฒนาให้ได้เพิ่มขึ้นอีก 50 ราย ในปี 2560 นี้ หรือมากกว่าพยายามกันต่อไปช่วยกัน

ทั้งนี้ ผมได้สั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สร้างเครือข่าย และขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมทั้งมีการแสวงประโยชน์จากศูนย์การเรียนรู้ของทุกกระทรวงให้มีการเชื่อมโยงกันใช้โครงสร้างพื้นฐาน ไอซีทีระดับหมู่บ้านของรัฐ ในการเชื่อมโยงการทำงาน และเผยแพร่องค์ความรู้ไปสู่พี่น้องเกษตรกรให้ทั่วถึง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ยกระดับให้เป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ประกอบการด้านการ เกษตร หรือเอสเอ็มอีเกษตรที่ใช้งานวิจัย และเทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน ที่ลดต้นทุน เพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิต สร้างอำนาจในการต่อรอง และแข่งขันได้ในตลาดโลก ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล

อีกเรื่องที่มีความสำคัญเช่นกัน คือ การสร้างสรรค์นวัตกรรมงานวิจัย ตามนโยบาย ประเทศไทย 4.0 ด้วยการเร่งประยุกต์งานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เราอย่าคิดว่าเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากร มากกว่าเขา มีค่าแรงงานที่ถูกกว่าเขา เหมือนเมื่อก่อน มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว หากเราต้องการที่จะแข่งขันกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของเรา เราเป็นเพื่อนกัน แต่เราก็ต้องพัฒนา ทุกประเทศ ให้ดีขึ้น ก็เหมือนกับแข่งขันกันไปในตัวด้วย แต่เราแข่งขันในลักษณะเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กัน เป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่แข่งขันกันอย่างเดียว มันต้องพัฒนาไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ทุกวันนี้ทุกประเทศเขาก็มีทรัพยากรไม่แตกต่างจากเรามากนัก แต่ค่าแรงเขาถูกกว่าเรามาก ดังนั้นเราต้องใช้ทรัพยากรของประเทศที่มีอย่างจำกัดด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านเกษตรกรรม ซึ่งเป็นผลผลิตจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างรายได้เพิ่มให้ได้มากที่สุด โดยจะต้องมีการประยุกต์ใช้ทรัพย์สินทางปัญญา มีผลงานวิจัย และพัฒนา รวมทั้งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อันจะเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ของเราเองเป็นสำคัญ ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม เราไม่จำเป็นต้องปลูกข้าวเพื่อส่งออกข้าวเปลือก หรือสีขายเป็นข้าวสารเพียงเท่านั้น อาจจะไม่พอ ต่อไปนี้เราต้องนำเข้า แปรรูป โดยใช้องค์ความรู้ต่างๆ ประกอบกันทำเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ที่บางครั้งทำได้มากวก่า 10 ครั้ง ร้อยเท่า เพื่อใช้เองในประเทศ หรือส่งออกต่างประเทศ ที่มีกระแสความนิยมเกษตรอินทรีย์ แลใส่ใจสุขภาพมากขึ้นทุกวัน

นอกจากนั้น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางเกษตรและสมุนไพรของไทยก็จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ของภูมิภาคอีกด้วย โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมทั้งแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทย นวดแผนไทย สมุนไพรไทย เหล่านี้เป็นต้น ด้วยการจัดทำทั้งมาตรการส่งเสริม แผนยุทธศาสตร์ และการออกกฎหมาย เพื่อจะสร้างความยั่งยืนให้กับวงการแพทย์ของไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการสร้างมูลค่าเพิ่ม จากเมล็ดงา รำข้าวสีนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการวิจัย และมีการพัฒนาอย่างครบวงจรของคณะทำงานในคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การส่งเสริมให้ปลูกข้าวที่เป็นออร์แกนิก ก็คือเกษตร 1.0 โดยรับซื้อวัตถุดิบจากข้าวเปลือกและงา จากเกษตรกรโดยตรง นำมาแปรรูปเป็นรำข้าวสีนิล เป็นแป้งข้าว และงาผงไขมันน้อย ด้วยเครื่องหีบเย็นน้ำมันงา หรือเครื่องสีข้าวในท้องถิ่น ซึ่งเป็นเครื่องจักรอุตสาหกรรมแบบง่ายๆ หรือเกษตร 2.0 จากนั้นก็ใช้เครื่องจักร เพื่อการบรรจุหีบห่อยกระดับเป็นเกษตรอุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือเกษตร 3.0 ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เพิ่มมูลค่าของสินค้าได้กว่าสิบเท่า ยิ่งกว่านั้น หากมีการนำไปต่อยอดเพิ่มโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย ประกอบกับเครื่องมือสมัยใหม่ เทคโนโลยีชั้นสูง เกิดนวัตกรรมใหม่ๆเป็นเกษตร 4.0 และหากสร้างเรื่องราว มีเบื้องหลัง มีความน่าสนใจใส่ลงไปด้วย มีการรับรองมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับและทำการตลาดดีๆ เช่น นวัตกรรมอาหารเพื่อการดูแลสุขภาพ หรือกินอาหารเป็นยา ก็อาจจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกเป็นร้อยเท่า

หากว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมดังกล่าวนั้นสามารถจะสร้างเครือข่ายเป็นห่วงโซ่ที่ครบวงจรตั้งแต่เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักศึกษา นักวิจัย อาจารย์ นักการตลาดไปจนถึงผู้บริโภค ที่จะมีสุขภาพดี ก็จะทำให้เกิดวงจรเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ แก่เกษตรกรราว 5,000 ราย มีแรงงานในโรงงานแปรรูปภาคอุตสาหกรรม อีกกว่า 1,500 คน เกิด SMEs และ Start up ใหม่ในห่วงโซ่ อีกมากกว่า 10 ราย มีประมาณการยอดขาย ไว้ราว 600 ล้านบาทต่อปี และก็จะสร้างมูลค่า การส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน ได้มีการสำรวจความต้องการตลาด และประมาณการไว้ล่วงหน้า เพื่อจะกำหนดประเภทและปริมาณการผลิต ในการป้อนตลาด กว่า 200 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ ผลประโยชน์ทางอ้อม ที่ย้อนกลับมาสู่ประชาชน และประเทศชาติ ในรูปแบบภาษีอากรต่างๆ แล้วก็หมุนเวียนเป็นวงจรที่ยั่งยืนต่อไป ก็ต้องดูแลในเรื่องทั้งดีมานด์และซัพพลาย ให้มันต้องกันด้วย

สำหรับเรื่องที่ผมอยากทำความเข้าใจ กับพี่น้องประชาชน ในช่วงท้ายนี้ ก็ได้แก่ เรื่องที่ 1.กรณีวัดพระธรรมกาย ผมขอให้เจ้าหน้าที่ พระ พุทธศาสนิกชน ประชาชนทั่วไป ทั้งประเทศได้อดทน ใช้สติปัญญาและวิจารณญาณในการแยกแยะ ในการแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วยนะครับ แยกแยะให้ได้ ผมอยากให้ฟังทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ วัด พระ ประชาชน สื่อก็คงจะต้องนำมาประมวลผลแยกแยะให้ออกว่าประเด็นอยู่ที่เรื่องอะไร ที่ทำให้เกิดการยืดเยื้ออยู่ทุกวันนี้ เพราะรัฐต้องการจะรังแกพระและวัดจริงหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต เรื่องกฎหมาย หรือการบิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า ประเด็นการเมือง ขอให้ทุกท่านลองนึกย้อนกลับไป นะครับอย่างเป็นกลาง แล้วก็แยกแยะให้ได้นะครับว่าเราจะทำยังไงกันต่อไป

เรื่องที่ 2. กรณีการทำงานของรัฐบาลและ คสช. เวลานี้ เราก็พยายามรับฟังทุกฝ่าย ถึงแม้ว่าจะมีการบิดเบือนให้ร้ายในประเด็นต่างๆ อยู่ตลอดเวลา รัฐบาลเองก็พยายามอดทน ไม่ลุแก่อำนาจ โดยใช้กฎหมาย ใช้คำสั่ง ใช้มาตรา 44 เท่าที่จำเป็น แล้วก็ไม่ได้ใช้เพื่อความรุนแรง ในเรื่องที่เร่งด่วน สิ่งสำคัญก็คือประชาชนคนไทยทั้งประเทศล้วนแต่มีความคาดหวัง ซึ่งก็มาจากหลายฝ่ายด้วยกัน หวังดี หวังร้าย ส่วนใหญ่ก็จะหวังให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น มีทั้งฝ่ายยอมรับการเปลี่ยนแปลง และฝ่ายที่อยากได้ทุกอย่างโดยไม่เปลี่ยนแปลงตนเองแม้แต่อย่างเดียว ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ยังคงเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำโดยไม่มีทางออกอะไรเลยให้กับรัฐบาลปัจจุบันที่กำลังพยายามแก้ปัญหา อย่างที่ผมบอกแล้วมาซ้ายก็ขวา มันทำไม่ได้หรอกครับทุกเรื่อง อย่างเช่น กรณีของเรื่องพลังงาน ที่ดิน น้ำ เกษตร เศรษฐกิจ ทุจริต หนี้สิน บางส่วนที่เข้าใจก็อาจจะนิ่งเฉยๆ ไม่ช่วยกันอธิบายขยายความ หรือใครได้ประโยชน์ไปแล้วก็ไม่พูดต่อ ทำให้หลายส่วนไม่เข้าใจ แล้วก็เข้าใจผิด ขยายความออกไปผิด ๆ

อีกอย่างก็คือ ผมเคยพูดไปแล้ว ขอร้องกันไปแล้ว เรื่องสื่อที่เป็นปัญหาอยู่ บางสื่อ ก็ยังพยายามจะขยายความเข้าใจผิดๆ ต่อไป เพื่อมุ่งหวังขายข่าว แสวงหาผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้นเอง วันนี้อย่าทำลายประเทศกันอีกเลย ผมพูดถึงเฉพาะบางสื่อนะ บางคอลัมน์นิสต์เท่านั้นแหละนะ รู้แก่ใจอยู่แล้วว่าใคร ใครเขียนยังไง รู้ตัวเองแล้วรับผิดชอบด้วย

สิ่งเหล่านั้น รัฐบาลและ คสช. อยากจะบอกว่าการปฏิรูปประเทศไม่มีวันสำเร็จ หากทุกคนยังคงติดอยู่กับที่เดิม ผมอยากให้ลองคิดดูใหม่ว่าการที่รัฐบาล คสช.เข้ามาเมื่อปี 57 นั้น เราเข้ามาทำอะไร เพื่ออะไร ปัญหามีอะไรบ้าง มีเป็นร้อยปัญหานะครับ แก้ไปแล้ว แก้ได้บ้าง ยังไม่ได้บ้าง ยังไม่สำเร็จบ้าง ก็พยายามทำทุกอย่างนะ แก้ไขใหม่ บางคนก็นึกว่าเป็นเวลาปกติ หรือว่ารัฐบาล คสช.ใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์น้อยเกินไป จนทำอะไรไม่สำเร็จ มีอิสระเสรีที่ไร้ขอบเขต เรียกร้องในสิ่งที่ให้ไม่ได้ ทุกคนพยายามคิดแตกต่างกันตลอด ทุกเรื่อง มันก็ขัดแย้งกันไปกันมา ทำให้งานของผมเดินหน้าไปได้ช้า เป็นไปได้ยาก ช้าก็ไม่พอใจ สื่อบางคนก็ลืมบทบาทหน้าที่ของตน หน้าที่ของพลเมืองดี มันก็เป็นอยู่แบบนี้ล่ะครับ สังคมถูกแบ่งแยก ผมไม่พยายามที่จะไปบังคับควบคุมใครเลยนะ ก็จะเห็นได้ว่า ทั้งสื่อ ทั้งโซเชียลมีเดีย ก็พูดจาอะไรกันไปก็มากมาย ผมก็พยายามไม่สนใจในบางเรื่อง แต่ทุกคนต้องพยายามที่จะหาจุดร่วมกันให้ได้ เพื่อเราจะปฏิรูปประเทศร่วมกัน ผมไม่อยากให้อ้างคำว่าประชาธิปไตย หรือคำว่าจรรยาบรรณของสื่ออย่างเดียว ซึ่งต้องมีเสรีภาพเต็มที่ วันนี้ลองดูสิครับว่า ประเทศเราเป็นอะไรอยู่ ยังทำอะไรอยู่ แก้ปัญหาอะไรอยู่ ดูประเทศมหาอำนาจที่ว่าเป็นประชาธิปไตย วันนี้เขาดูแลสื่อเขาอย่างไร ไปดูคนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่ดูแต่ของเรา แล้วก็เอาหลักการที่ทุกคนต้องการมาต่อสู้กันทุกวันอยู่นี้ไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเขาบ้าง เพราะฉะนั้นอย่ามาอ้างเฉพาะในสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ แต่ประเทศชาติเสียหาย คนอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถอะ

อยากได้ทุกอย่าง อยากได้อิสระ เสรีภาพ ประชาธิปไตย แต่ตัวเองไม่ย้อนดูว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างกับประเทศชาติและประชาชน พร้อมจะแก้ไขหรือยัง อย่าโทษรัฐบาล โทษ คสช.อย่างเดียว ว่าทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง

ทุกคน ผมก็เข้าใจนะ ทุกคนก็ขาดแคลน ทุกคนก็อยากได้โน่นได้นี่ อยากได้เงิน อยากได้ทุนอยากได้ค่าแรง อยากได้ค่ารักษาพยาบาล การศึกษาฟรี อะไรที่มันฟรีๆ รัฐสวัสดิการ เราพร้อมหรือยังล่ะครับที่จะให้ได้มากขนาดนั้น เรามีรายได้เพียงพอหรือยัง วันนี้ทุกคนก็ไม่เข้าใจ พยายามไปปลุกปั่น ปลุกระดมผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ที่ลำบากว่า รัฐบาลจะต้องดูแลมากกว่านี้ มากกว่านั้น แล้วที่ผ่านมาเราก็พยายามเพิ่มให้ทุกอย่างนะครับ ไม่เคยลดอะไรเลยสักอย่าง ตอนนี้มีแต่เพิ่มให้ๆ แต่มันเพิ่มได้น้อยไง เพราะรายได้เรายังมีเท่านี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังมากนัก อย่ามาจ้องจับผิดอะไรต่างๆ ก็ตาม ผมไม่ได้ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือกลุ่มทุน แล้วก็ไปลืมฐานราก ลืมประชาชน ผมเห็นว่าทุกครั้งที่ผมพูดทุกวันผมก็พูดถึงคนที่มีรายได้น้อยก่อนเสมอ ผมไม่เคยลืมเลยนะ

แล้วระบบเศรษฐกิจเรามันต้องไปพร้อมๆ กัน เป็นห่วงโซ่ เพราะฉะนั้นเราต้องดู เราต้องมาดู ทบทวนกันเอง รัฐบาล คสช.ก็ทบทวนตัวเอง ว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากที่เรามาทำหรือเปล่า โดยส่วนตัวผมเองนะ ผมคิดว่าผมไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ประเทศชาติได้ประโยชน์ มันก็ทำให้ผมมีกำลังใจ มีความคิดความพยายามที่จะทำต่อไป เห็นรอยยิ้มของพี่น้องประชาชนทุกคนที่มีความสุข มีชีวิตที่ดีขึ้น

ถ้าคนริมคลองมีบ้านเป็นของตัวเอง ชาวนามีหนี้สินน้อยลง ราคาสินค้าการเกษตรเพิ่มขึ้น ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงสวัสดิการมากขึ้น ผู้มีอาชีพอิสระมีระบบประกันสังคม ทุกคนได้รับความยุติธรรมจากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เราไม่อยากให้พวกเราไปคิดกันคนละทางสองทาง แล้วก็ติโน่นตินี่ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรที่มันจะดีกว่านี้ แต่ก็ติไว้ก่อน มันไม่เป็นประโยชน์นะครับ อย่าให้มันมีกันเยอะเกินไป คนประเภทนี้ ขอร้องสื่อ ขอร้องนักข่าว ขอร้องคอลัมนิสต์บางคน ให้มาร่วมรับผิดชอบกับสังคมบ้าง ต้องรู้ว่าประเทศเป็นอย่างไร รายได้เป็นอย่างไร เก็บภาษีได้เท่าไหร่ ใครเสียบ้าง ใครไม่เสีย คนรายได้น้อยได้รับการดูแลอย่างไร แล้วสวัสดิการมีอย่างไร ให้ไปแล้วเท่าไร อะไรยังไม่ได้ให้ ถ้าให้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ให้มากก็เกินไป ประเทศล่มสลาย ระบบการเงินการคลังเสียหาย จะทำอย่างไร ต้องรู้เรื่องเหล่านี้มันถึงจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งหมด ไม่งั้นเท่ากับเลือกวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องๆ เป็นตอนๆ โดยที่มันไม่คำนึงถึงมันเกี่ยวพันใคร ใครจะเสียหาย แล้วมันทำให้การทำงานอื่นๆที่มันจะเป็นส่วนประกอบให้เกิดสิ่งที่ต้องการมันทำไม่ได้ อย่าเอาสิ่งที่ไม่ดีมาตีกับสิ่งที่ดีๆ จนทำให้เรารู้สึกว่าไอ้สิ่งที่ทำมาทุกวันนี้ไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าเราคิดกันแบบนั้นประเทศเราไปไหนได้ไม่ไกลกว่านี้หรอกครับ ไม่สร้างสรรค์ ไม่พัฒนาตนเอง ไม่มีหลักคิด ผมพยายามจะทำให้ดีที่สุด ไม่เคยท้อแท้ เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่สู้ชีวิต ประชาชนทุกคนสู้ชีวิต ผมเองก็สู้เพื่อชาติและประชาชน สถาบันอันเป็นที่รักของเราเท่าที่จะทำได้

ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือก็ต้องไปกดดันคนเหล่านั้น คาดคั้นความรับผิดชอบจากเขาด้วย ผมขอพูดแค่นี้นะครับ ก็เยอะพอสมควรแล้วล่ะ ก็เอาไปทบทวนแล้วกันรู้ตัวกันอยู่แล้ว อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ถ้าอยากจะทำแบบนี้ไปทำกับรัฐบาลหน้านู่น ก็ดูซิว่าจะทำได้ไหม ไม่ต้องไปขัดแย้ง ไม่ต้องไปมีคดีความ ไม่มีคนเกลียด

วันนี้ก็อยากทำให้ประเทศของเราเดินหน้าให้ได้ อย่าล้มเหลวเลย อย่าไร้ระเบียบวินัยเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม เสนอมาได้นะครับ ถ้ามีความคิดเห็นอย่างไรที่อยากจะให้รัฐบาลรับทราบ แต่อย่าติติงทั้งหมดเลย มันอาจจะไม่ได้ดีทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันต้องดีมากกว่าไม่ดี แล้วบางอย่างมันเพิ่งจะเริ่ม มันต้องให้เวลาในการทำงานบ้างนะครับ เหมือนกันที่ท่านเคยให้เวลากับทุกรัฐบาลมานั้นแหละ

เรื่องสุดท้ายนะครับ วันนี้ก็เป็นห่วงเป็นใยเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหาต่างๆ อย่างเต็มที่ วันนี้ก็เริ่มจะเข้าสถานการณ์ฤดูแล้งอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันระมัดระวังปัญหาภัยแล้งในปีนี้ตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับหน้าแล้งในปีที่ผ่านมา แต่ก็ประมาทไม่ได้ เรื่องฝนฟ้าคาดเดาได้ยาก

ปีนี้เราอาจจะพอจะมีน้ำใช้อุปโภคบริโภค แล้วก็ใช้ในการผลิต เพาะปลูกได้พอสมควรนะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย แล้วก็ถือว่ามีมากใช้มากไม่ได้ น้ำนี่ยิ่งมีมากยิ่งต้องใช้น้อย เพราะว่ามันต้องเผื่อแผ่ไปในระยะเวลาอีกยาวนาน กว่าฝนจะมา วันหน้าฝนจะมามาก มาน้อย จะเก็บน้ำไว้ได้เท่าไร วันนี้ระบบส่งน้ำก็ยังไม่สมบูรณ์ รัฐบาลพยายามเต็มที่เพื่อจะให้ระบบส่งน้ำไปถึงผู้ใช้น้ำ ก็วันนี้จะต้องระมัดระวังการใช้น้ำให้ผ่านพ้นฤดูแล้งนี้ไปถึงฤดูฝนหน้า อย่าประมาทนะครับ ช่วยกันดูแลการใช้น้ำอย่างระมัดระวัง สื่อก็อย่าเอาแต่ภาพที่มันตรงนั้นแห้ง ตรงนี้แห้งมาเลย เดี๋ยวประชาชนก็ตกใจหมด

รัฐบาล กระทรวงเกษตรฯ กรมชลประทาน หลายหน่วยงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพย์ฯ เขาพยายามจะบริหารจัดการน้ำอยู่ แต่ถ้าถามว่ามันจะเต็มทุกคลองเต็มทุกอ่างกักเก็บน้ำได้ไหม มันขึ้นอยู่กับปริมาณฝนที่มีอยู่ น้ำต้นทุนมีหรือเปล่า เราต้องวางแผนการใช้น้ำให้เหมาะสม พอเหมาะพอควร ทุกภาคส่วนร่วมกันคนละไม้คนละมือ รัฐบาลก็พยายามเต็มที่ จะเดินหน้าโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างต่อเนื่อง ตามงบประมาณที่มีอยู่ ตามระยะเวลาที่มีอยู่ ข้อสำคัญก็คือในเรื่องของการติดตามวิเคราะห์ข้อมูลดินฟ้าอากาศและปริมาณน้ำในพื้นที่ต่างๆ เพื่อจะประเมินสถานการณ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ในการเตรียมพร้อมที่จะดูแลหากเกิดปัญหาภัยแล้งได้อย่างทันท่วงที

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการให้กำลังใจกับพี่น้องชาวใต้ วันนี้ก็อยู่ในขั้นการฟื้นฟู แล้วก็ช่วยกันดูแลด้วยในกรณีที่กีดขว้างทางน้ำต้องเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ เราต้องแก้ไขให้ได้ในปีนี้ ไม่งั้นปีหน้าก็ขวางอีก ก็ท่วมอีกนะ ต้องอดทนนะครับอดทน มีอะไรก็บอกกับเจ้าหน้าที่ กับราชการ กับรัฐบาลมา ก็จะแก้ไขให้

ขอขอบคุณนะครับ ขอให้มีความสุขทุกคนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น