บรรยากาศในพระบรมมหาราชวัง วันนี้ (24 ม.ค.) ซึ่งเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพเป็นวันที่ 83 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนแต่งกายด้วยชุดดำเรียบร้อยจำนวนมาก เดินทางมาต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อขึ้นสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยเจ้าหน้าที่ได้เปิดประตูให้ประชาชนเดินแถวเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น.ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี
นางสาวชื่นจิต พูลชัย วัย 45 ปี พักอยู่แถวย่านห้วยขวาง พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้ใช้เวลาทุกวันหยุดของตัวเองคือวันอังคาร เดินทางมาสักการะพระบรมศพ โดยการมาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 แล้ว จากที่ตั้งใจว่าจะมาให้ครบ 9 ครั้ง กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาถึงที่สนามหลวงตั้งแต่เวลา 06.30 น. และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตอน 10.30 น. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกๆ ที่ไม่ได้ใช้เวลารอนานเหมือนทุกครั้ง ซึ่งเมื่อ 4 ครั้งที่ผ่านมาเธอเคยรอสักการะพระบรมศพนานที่สุดถึง 13 ชั่วโมง ตนมาถึงตั้งแต่ 04.00 น. และได้ขึ้นสักการพระบรมศพตอน 17.00 น. และทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความรู้สึกก็ไม่ได้ต่างกัน เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาก็ไหลทุกครั้งที่ได้กราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิด จากนี้ต่อไปถึงแม้ไม่มีพ่อหลวงอีกต่อไปแล้ว แต่เธอจะสานปณิธานเดินตามรอยเท้าพระองค์ ด้วยการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ในฐานะที่เป็นพนักงานออฟฟิศจะไม่ใช้เงินฟุ้งเฟ้อจนเกิดหนี้สิน
นายณัฐนันท์ จันทพันธ์ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งพูดผ่านภาษามือโดยมีล่ามแปลภาษาว่า มากราบสักการะพระบรมศพครั้งนี้ รู้สึกประทับใจและภูมิใจมาก อยากจะชวนครอบครัวมากราบพระบรมศพด้วย ตลอดชีวิตที่ได้เกิดมาในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 รู้สึกรักพระองค์มาก เพราะพระองค์ได้ทรงงานหนักเพื่อคนไทยตลอดมา อย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเรื่องเกษตรที่ทำให้คนไทยทุกคนมีข้าวกิน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและโครงการพระราชดำริช่างหัวมัน ก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติ แม้ว่าจะเสียใจมากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต แต่พระองค์ก็จะทรงอยู่ในหัวใจของทุกคนตลอดไป อนาคตก็อยากจะเป็นครูเพื่อจะได้สอนเด็กๆ รุ่นน้องที่บกพร่องทางการได้ยินเหล่านี้ได้มีโอกาสเช่นเรา
ด้านนายโรนัลด์ เบ็ธเกอร์ ชาวอเมริกันวัยเกษียณ ที่ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องพิมพ์ให้กับสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก่อนจะเดินทางไปทั่วโลกทั้งอเมริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาพักอยู่ที่พัทยา ก่อนจะแต่งงานกับชาวไทยและอยู่เมืองไทยมานานกว่า 1 ปีครึ่ง กล่าวว่า มากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แม้ว่าจะต้องรอนานแต่ก็ไม่ย่อท้อ เพราะประทับใจในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำเพื่อคนไทย จากการอ่านข่าวตามสื่อต่างๆ ทั้งการเกษตร การช่วยเหลือประชาชนบนยอดดอย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยให้ประชาชนมีอยู่มีกิน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของเวทมนตร์ อันเป็นสิ่งที่ยืนยาวกว่า จึงอยากที่จะมาสักการะพระบรมศพสักครั้งและจะนำเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าให้ทุกคนฟังต่อไป
ทั้งนี้ ที่เต็นท์วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางออกหน้าประตูเทวาภิรมย์ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย นำขนมปัง และไข่พะโล้แห้ง พร้อมน้ำดื่ม มาแจกจ่ายประชาชนด้วย
ขณะที่บริเวณทางออกด้านซ้ายของประตูเทวาภิรมย์ ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้นำขนมไข่ จำนวน 3,000 ถุง พร้อมน้ำดื่มมาแจกจ่ายประชาชน ส่วนช่วงบ่าย เป็นขนมจาก พร้อมน้ำดื่ม มาแจกจ่ายประชาชนหลังออกจากการเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ เพื่อบรรเทาความหิวด้วย
นางสาวชื่นจิต พูลชัย วัย 45 ปี พักอยู่แถวย่านห้วยขวาง พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้ใช้เวลาทุกวันหยุดของตัวเองคือวันอังคาร เดินทางมาสักการะพระบรมศพ โดยการมาครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 5 แล้ว จากที่ตั้งใจว่าจะมาให้ครบ 9 ครั้ง กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาถึงที่สนามหลวงตั้งแต่เวลา 06.30 น. และได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตอน 10.30 น. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกๆ ที่ไม่ได้ใช้เวลารอนานเหมือนทุกครั้ง ซึ่งเมื่อ 4 ครั้งที่ผ่านมาเธอเคยรอสักการะพระบรมศพนานที่สุดถึง 13 ชั่วโมง ตนมาถึงตั้งแต่ 04.00 น. และได้ขึ้นสักการพระบรมศพตอน 17.00 น. และทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปกราบพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ความรู้สึกก็ไม่ได้ต่างกัน เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาก็ไหลทุกครั้งที่ได้กราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิด จากนี้ต่อไปถึงแม้ไม่มีพ่อหลวงอีกต่อไปแล้ว แต่เธอจะสานปณิธานเดินตามรอยเท้าพระองค์ ด้วยการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต ในฐานะที่เป็นพนักงานออฟฟิศจะไม่ใช้เงินฟุ้งเฟ้อจนเกิดหนี้สิน
นายณัฐนันท์ จันทพันธ์ อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งพูดผ่านภาษามือโดยมีล่ามแปลภาษาว่า มากราบสักการะพระบรมศพครั้งนี้ รู้สึกประทับใจและภูมิใจมาก อยากจะชวนครอบครัวมากราบพระบรมศพด้วย ตลอดชีวิตที่ได้เกิดมาในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 รู้สึกรักพระองค์มาก เพราะพระองค์ได้ทรงงานหนักเพื่อคนไทยตลอดมา อย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเรื่องเกษตรที่ทำให้คนไทยทุกคนมีข้าวกิน เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและโครงการพระราชดำริช่างหัวมัน ก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติ แม้ว่าจะเสียใจมากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต แต่พระองค์ก็จะทรงอยู่ในหัวใจของทุกคนตลอดไป อนาคตก็อยากจะเป็นครูเพื่อจะได้สอนเด็กๆ รุ่นน้องที่บกพร่องทางการได้ยินเหล่านี้ได้มีโอกาสเช่นเรา
ด้านนายโรนัลด์ เบ็ธเกอร์ ชาวอเมริกันวัยเกษียณ ที่ทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องพิมพ์ให้กับสื่อหนังสือพิมพ์ต่างๆ ก่อนจะเดินทางไปทั่วโลกทั้งอเมริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาพักอยู่ที่พัทยา ก่อนจะแต่งงานกับชาวไทยและอยู่เมืองไทยมานานกว่า 1 ปีครึ่ง กล่าวว่า มากราบสักการะพระบรมศพเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แม้ว่าจะต้องรอนานแต่ก็ไม่ย่อท้อ เพราะประทับใจในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำเพื่อคนไทย จากการอ่านข่าวตามสื่อต่างๆ ทั้งการเกษตร การช่วยเหลือประชาชนบนยอดดอย ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยให้ประชาชนมีอยู่มีกิน ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องของเวทมนตร์ อันเป็นสิ่งที่ยืนยาวกว่า จึงอยากที่จะมาสักการะพระบรมศพสักครั้งและจะนำเรื่องราวเหล่านี้ไปเล่าให้ทุกคนฟังต่อไป
ทั้งนี้ ที่เต็นท์วชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางออกหน้าประตูเทวาภิรมย์ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัย นำขนมปัง และไข่พะโล้แห้ง พร้อมน้ำดื่ม มาแจกจ่ายประชาชนด้วย
ขณะที่บริเวณทางออกด้านซ้ายของประตูเทวาภิรมย์ ช่วงเช้าเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้นำขนมไข่ จำนวน 3,000 ถุง พร้อมน้ำดื่มมาแจกจ่ายประชาชน ส่วนช่วงบ่าย เป็นขนมจาก พร้อมน้ำดื่ม มาแจกจ่ายประชาชนหลังออกจากการเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ เพื่อบรรเทาความหิวด้วย