นายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมร่วมกับผู้แทนจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2รอ.) กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และกรุงเทพมหานคร พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS Tracking ของ บขส. และพื้นที่จอดรถตู้โดยสารสาธารณะ เพื่อติดตามนโยบายการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ หลังจากกำหนดให้รถตู้โดยสารสาธารณะร่วมให้บริการ บขส. หมวด 2 ที่วิ่งให้บริการในเขตกรุงเทพมหานครไปต่างจังหวัดทั้งหมด ต้องติดตั้งระบบ GPS Tracking ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ และมีการจัดระเบียบให้รถตู้โดยสารสาธารณะต้องมาให้บริการตามสถานีขนส่งทั้ง 198 แห่งที่กำหนดไว้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ระบบ GPS Tracking ถือเป็นระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการติดตามพฤติกรรมพนักงานขับรถ แบบ Realtime Online ควบคู่กับการติดตั้งเครื่องบ่งชี้พนักงานขับรถ (เครื่องรูดใบขับขี่แสดงตัวตนพนักงานขับรถ) ในรถทุกคันทุกเส้นทางและเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS อย่างสมบูรณ์ ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ซึ่งจะเร็วกว่ากำหนดเดิมที่ให้ติดตั้งแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและควบคุมดูแลความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ คาดว่าจะช่วยลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มรถตู้โดยสารสาธารณะ ที่พบว่ามีพฤติกรรมการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังออกแบบระบบให้สามารถบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมทั้งกรมการขนส่งทางบก ผู้ประกอบการ เจ้าของรถ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้โดยสารและประชาชนทั่วไป ผ่านแอปพลิเคชัน DLT GPS ทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลของรถเช่นเดียวกันกับข้อมูลที่แสดงผลในศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบก และศูนย์ฯ GPS ขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ ควบคู่กับการดำเนินมาตรการกำกับ ควบคุม ดูแล พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง จริงจัง เด็ดขาด ทันที ในขั้นสูงสุดทุกกรณี ทั้งพนักงานขับรถและผู้ประกอบการ ในทุกประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ หากผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะรายใดที่ครบกำหนดติดตั้งระบบ GPS แล้วไม่ดำเนินการติดตั้ง จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำรถมาวิ่งรับ - ส่งผู้โดยสารอย่างแน่นอน เนื่องจากรถเข้าข่ายสภาพรถไม่มีความพร้อมให้บริการผู้โดยสาร มีความผิดตามกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษทันที
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ระบบ GPS Tracking ถือเป็นระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการติดตามพฤติกรรมพนักงานขับรถ แบบ Realtime Online ควบคู่กับการติดตั้งเครื่องบ่งชี้พนักงานขับรถ (เครื่องรูดใบขับขี่แสดงตัวตนพนักงานขับรถ) ในรถทุกคันทุกเส้นทางและเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS อย่างสมบูรณ์ ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ซึ่งจะเร็วกว่ากำหนดเดิมที่ให้ติดตั้งแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและควบคุมดูแลความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ คาดว่าจะช่วยลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลุ่มรถตู้โดยสารสาธารณะ ที่พบว่ามีพฤติกรรมการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังออกแบบระบบให้สามารถบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมทั้งกรมการขนส่งทางบก ผู้ประกอบการ เจ้าของรถ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้โดยสารและประชาชนทั่วไป ผ่านแอปพลิเคชัน DLT GPS ทางโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะแสดงผลข้อมูลของรถเช่นเดียวกันกับข้อมูลที่แสดงผลในศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS ของกรมการขนส่งทางบก และศูนย์ฯ GPS ขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ ควบคู่กับการดำเนินมาตรการกำกับ ควบคุม ดูแล พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ต่อเนื่อง จริงจัง เด็ดขาด ทันที ในขั้นสูงสุดทุกกรณี ทั้งพนักงานขับรถและผู้ประกอบการ ในทุกประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ หากผู้ประกอบการรถตู้โดยสารสาธารณะรายใดที่ครบกำหนดติดตั้งระบบ GPS แล้วไม่ดำเนินการติดตั้ง จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำรถมาวิ่งรับ - ส่งผู้โดยสารอย่างแน่นอน เนื่องจากรถเข้าข่ายสภาพรถไม่มีความพร้อมให้บริการผู้โดยสาร มีความผิดตามกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษทันที