บรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนั้น เจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ในเวลา 04.40 น.ก่อนเปลี่ยนเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน เวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางประตูวิเศษไชยศรี ตลอดทั้งวันมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศทั้งต่างจังหวัด และกรุงเทพฯ ทยอยเดินทางมาต่อแถวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
นางนงเยา ประภาสวัต อายุ 64 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านสำโรง ตั้งแต่เวลา 04.00 น. พร้อมด้วยน้องสาว นางศศิธร อนุเวช วัย 47 ปี กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสเดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรกเพราะเพิ่งนัดแนะกับน้องสาวลงตัว ทั้งที่ความจริงอยากมานานแล้ว
ด้านนางรานี ทองผิว อายุ 60 ปี เดินทางมาจาก จ.นนทบุรี พร้อมพี่สาวและลูกสาวรวม 4 คน เปิดเผยว่า ออกจากบ้านมาตั้งแต่ 03.00 น.มาถึงสนามหลวงเวลา 05.00 น.รอแต่แถวจนได้เข้ากราบพระบรมศพประมาณ 10.00 น. ซึ่งก็ไม่นานนัก
นายเฉลิมบุญ อัจฉริยบดี อายุ 39 ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว อาศัยช่วงวันหยุดงานเดินทางจากบ้านย่านตลิ่งชันมาพร้อมลูกสาววัย 9 ขวบ ด.ญ.ณฐมน อัจฉริยบดี นักเรียนชั้น ป.2 โรงเรียนรุ่งอรุณ มาต่อแถวตั้งแต่ 05.00 น. กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาถวายสักกาะพระบรมศพ ส่วนลูกสาวเคยเดินทางมากับแม่ครั้งหนึ่งแล้ว จึงได้ลูกสาวคอยแนะนำว่าลำดับการต่อแถว และจุดนั่งคอยตามเต็นฑ์ต่างๆ ซึ่งอากาศวันนี้ค่อยข้างเป็นใจ แม้ไม่มีลมแต่ก็เย็นสบายเพราะเมฆครึ้มทั้งวัน ทำให้ไม่เหนื่อยเลย และเมื่อได้เข้าไปกราบด้านในแล้วยิ่งตื้นตันปลาบปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
นางชุติพันธ์ หาญประสิทธิ์คำ อายุ 58 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ในฐานะกรรมการวัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด นำคณะสมาชิกสถาบันพลังจิตตาสุภาพ สาขา 83 วัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด กว่า 50 คน เหมารถบัสโดยสารเดินทางมานั่งวิปัสนาที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย 101 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2560 ก่อนเตรียมความพร้อมมาสักการะพระบรมศพวันนี้ กล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า สมัยก่อนพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดแร้นแค้น หรือคนจะเรียกว่า "ทุ่งกุลาร้องไห้" เพาะปลูกทำการเกษตรไม่ได้ผล กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระเมตตาใส่พระราชหฤทัยในความเดือดร้อนของชาวร้อยเอ็ด มีพระราชดำริจัดการเรื่องน้ำชลประทาน ทำให้ชาวเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากปลูกพืชไร่ทำนาข้าวได้ผลผลิตดี ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย และกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัด
นางนงเยา ประภาสวัต อายุ 64 ปี เดินทางมาจากบ้านพักย่านสำโรง ตั้งแต่เวลา 04.00 น. พร้อมด้วยน้องสาว นางศศิธร อนุเวช วัย 47 ปี กล่าวว่า เพิ่งมีโอกาสเดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งแรกเพราะเพิ่งนัดแนะกับน้องสาวลงตัว ทั้งที่ความจริงอยากมานานแล้ว
ด้านนางรานี ทองผิว อายุ 60 ปี เดินทางมาจาก จ.นนทบุรี พร้อมพี่สาวและลูกสาวรวม 4 คน เปิดเผยว่า ออกจากบ้านมาตั้งแต่ 03.00 น.มาถึงสนามหลวงเวลา 05.00 น.รอแต่แถวจนได้เข้ากราบพระบรมศพประมาณ 10.00 น. ซึ่งก็ไม่นานนัก
นายเฉลิมบุญ อัจฉริยบดี อายุ 39 ปี ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว อาศัยช่วงวันหยุดงานเดินทางจากบ้านย่านตลิ่งชันมาพร้อมลูกสาววัย 9 ขวบ ด.ญ.ณฐมน อัจฉริยบดี นักเรียนชั้น ป.2 โรงเรียนรุ่งอรุณ มาต่อแถวตั้งแต่ 05.00 น. กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาถวายสักกาะพระบรมศพ ส่วนลูกสาวเคยเดินทางมากับแม่ครั้งหนึ่งแล้ว จึงได้ลูกสาวคอยแนะนำว่าลำดับการต่อแถว และจุดนั่งคอยตามเต็นฑ์ต่างๆ ซึ่งอากาศวันนี้ค่อยข้างเป็นใจ แม้ไม่มีลมแต่ก็เย็นสบายเพราะเมฆครึ้มทั้งวัน ทำให้ไม่เหนื่อยเลย และเมื่อได้เข้าไปกราบด้านในแล้วยิ่งตื้นตันปลาบปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก
นางชุติพันธ์ หาญประสิทธิ์คำ อายุ 58 ปี ชาว จ.ร้อยเอ็ด ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ในฐานะกรรมการวัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด นำคณะสมาชิกสถาบันพลังจิตตาสุภาพ สาขา 83 วัดวิมลนิวาส จ.ร้อยเอ็ด กว่า 50 คน เหมารถบัสโดยสารเดินทางมานั่งวิปัสนาที่วัดธรรมมงคล สุขุมวิทซอย 101 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2560 ก่อนเตรียมความพร้อมมาสักการะพระบรมศพวันนี้ กล่าวด้วยความตื้นตันใจว่า สมัยก่อนพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดแร้นแค้น หรือคนจะเรียกว่า "ทุ่งกุลาร้องไห้" เพาะปลูกทำการเกษตรไม่ได้ผล กระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระเมตตาใส่พระราชหฤทัยในความเดือดร้อนของชาวร้อยเอ็ด มีพระราชดำริจัดการเรื่องน้ำชลประทาน ทำให้ชาวเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปากปลูกพืชไร่ทำนาข้าวได้ผลผลิตดี ปัจจุบันยังเป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย และกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของจังหวัด