นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากการจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้ความเร็วบนท้องถนนด้วยกล้องเลเซอร์ของรถโดยสารสาธารณะบนเส้นทางสายหลัก และสายรองทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29-31 ธันวาคม ที่ผ่านมา จำนวน 8,406 คัน พบว่ามีการใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 367 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถตู้โดยสารประจำทาง 98 คัน รองลงมา เป็นรถตู้โดยสารไม่ประจำทาง 71 คัน นอกนั้นเป็นรถโดยสารขนาดใหญ่ และรถบรรทุก โดยได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับ 12 ราย ออกคำสั่งผู้ตรวจการ 15 ราย และที่เหลืออยู่ระหว่างเรียกตัวมารายงาน ทั้งนี้ หากเกิดอันตรายร้ายแรงผู้ประกอบการต้องร่วมรับผิดชอบทุกกรณี
นอกจากนี้ จากการตรวจความพร้อมของรถโดยสาร และพนักงานขับรถที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอด และจุดตรวจทั่วประเทศ โดยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้ตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะ 38,081 คัน พบว่า มีสภาพไม่พร้อมให้บริการ 193 คัน ส่วนใหญ่ไม่แสดงเครื่องหมายการตรวจสภาพรถ เสริมเบาะนั่ง และความไม่พร้อมของกระจกข้างและกระจกหน้า โดยได้ให้เปลี่ยนรถคันใหม่ทันที 4 คัน เนื่องจากไม่ปลอดภัยอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนที่เหลือออกคำสั่งผู้ตรวจการ และเปรียบเทียบปรับทุกราย
ขณะที่การตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถ 42,158 รายนั้น พบกระทำผิด 36 ราย ส่วนใหญ่แต่งกายไม่สุภาพ ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ไม่บันทึกระยะเวลาในการขับ โดยได้ดำเนินการตามกฎหมายทุกราย และตรวจพบพนักงานขับรถมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 0 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 1 ราย ซึ่งได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว
นอกจากนี้ จากการตรวจความพร้อมของรถโดยสาร และพนักงานขับรถที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอด และจุดตรวจทั่วประเทศ โดยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้ตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะ 38,081 คัน พบว่า มีสภาพไม่พร้อมให้บริการ 193 คัน ส่วนใหญ่ไม่แสดงเครื่องหมายการตรวจสภาพรถ เสริมเบาะนั่ง และความไม่พร้อมของกระจกข้างและกระจกหน้า โดยได้ให้เปลี่ยนรถคันใหม่ทันที 4 คัน เนื่องจากไม่ปลอดภัยอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนที่เหลือออกคำสั่งผู้ตรวจการ และเปรียบเทียบปรับทุกราย
ขณะที่การตรวจความพร้อมของพนักงานขับรถ 42,158 รายนั้น พบกระทำผิด 36 ราย ส่วนใหญ่แต่งกายไม่สุภาพ ไม่มีใบอนุญาตขับรถ ไม่บันทึกระยะเวลาในการขับ โดยได้ดำเนินการตามกฎหมายทุกราย และตรวจพบพนักงานขับรถมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 0 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 1 ราย ซึ่งได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว