ตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันนี้ (4 พ.ย.) สำนักพระราชวัง เปิดให้พสกนิกรเดินทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 บรรยากาศบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นางกันยากร สุขแก้ว อายุ 33 ปี พนักงานบริษัทเอกชน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยนางสาวปัทมาวดี สุขใส พนักงานบริษัทเอกชน ต.รัษฎา อ.เมทอง จ.ภูเก็ต และ นางสาวศุภรนัน สุขแก้ว ธุรกิจส่วนตัว ต.ควนรัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า ตนอยากมาหลายวันแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสในวันนี้ รู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต จะขอเป็นคนดีอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือครองบครัวและสังคม เหมือนที่พระองค์ท่านทำไว้เป็นแบบอย่าง พระองค์ท่านเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว เป็นครู เป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆ ด้านให้กับคนไทย เป็นผู้ให้ชีวิต จึงปฏิญาณไว้ว่า จะเปลี่ยนชีวิต จะเป็นคนดี และทำดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่พระองค์ท่านสอนไว้ว่าต้องอดทน และเป็นคนดี
"ปีที่พระองค์ท่านฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ช่วงนั้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ เคยได้เฝ้าฯ รับเสด็จที่ลานพระบรมรูปทรงม้า รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมากที่ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ความรู้สึกที่ได้มากราบถวายสักการะในครั้งนี้มีความรู้สึกว่าสูญเสียมากที่สุดในชีวิต พระองค์ท่านเป็นพ่อที่ประเสริฐที่สุดในโลกนี้ จะน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปปฏิบัติ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง และไม่อยากให้คนไทยแบ่งแยก ให้คิดว่าเราทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะพวกเราเป็นลูกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยกันทุกคน และขอขอบพระคุณที่พระองค์ให้ทุกอย่างกับพวกเราคนไทย ขอขอบพระคุณที่พระองค์สอนให้รู้จักหลักเศรษฐกิจพอเพียง สอนให้รู้จักอดทน รู้จักแบ่งปัน และสอนให้คนไทยรักกัน และให้เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
"การสูญเสียครั้งนี้สอนให้รู้ว่า หากจะทำอะไรให้กับคนที่เรารักที่สุดก็อย่ารอ ไม่ว่ากับพ่อแม่ เพื่อนร่วมงาน และบ้านเมือง เพราะหากรอวันต่อไปเราอาจจะไม่ได้ทำ เหมือนอย่างที่เราอยากมาเห็นพระองค์ท่านตอนมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้เห็น เราเห็นแต่ทางทีวี วันนี้จึงตั้งใจว่าจะต้องมาให้ได้ มาเห็นพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย และพระองค์จะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป มีลูกมีหลานก็จะสอนให้ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่านตลอดไป"
ขณะที่นางจุฑารัตน์ สุเมขะโส อายุ 66 ปี ชาว ต.หนองขาหยั่ง อ.บางแขม จ.นครปฐม กล่าวว่า ตนเดินทางมาถวายสักการะเป็นครั้งที่สอง โดยในวันนี้เดินทางมาพร้อมกับลูกชายและลูกสะใภ้ จึงได้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งในช่วงนั้นพระองค์ท่านยังทรงแข็งแรง เห็นแล้วก็ปลื้มปีติมาก ต่างกับวันนี้ซึ่งความรู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยว ตอนท่านประชวรก็คิดว่ายังไงท่านก็ยังอยู่ ก็ได้มาลงนามถวายพระพรสองครั้ง แต่พอรู้ว่าท่านเสด็จสวรรคตก็ร้องไห้เสียใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พระองค์ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน ตนก็ได้น้อมนำหลักคำสอนของพระองค์มาสอนลูกๆ ให้มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการฉ้อฉล ขณะนี้ลูกๆ ทุกคนทำงานรับราชการ และบริษัทเอกชน คิดว่าที่ลูกๆ ได้ดีเพราะคำสอนของพระองค์ท่าน
นางกันยากร สุขแก้ว อายุ 33 ปี พนักงานบริษัทเอกชน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยนางสาวปัทมาวดี สุขใส พนักงานบริษัทเอกชน ต.รัษฎา อ.เมทอง จ.ภูเก็ต และ นางสาวศุภรนัน สุขแก้ว ธุรกิจส่วนตัว ต.ควนรัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กล่าวว่า ตนอยากมาหลายวันแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสในวันนี้ รู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิต จะขอเป็นคนดีอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือครองบครัวและสังคม เหมือนที่พระองค์ท่านทำไว้เป็นแบบอย่าง พระองค์ท่านเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัว เป็นครู เป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆ ด้านให้กับคนไทย เป็นผู้ให้ชีวิต จึงปฏิญาณไว้ว่า จะเปลี่ยนชีวิต จะเป็นคนดี และทำดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนที่พระองค์ท่านสอนไว้ว่าต้องอดทน และเป็นคนดี
"ปีที่พระองค์ท่านฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ช่วงนั้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ เคยได้เฝ้าฯ รับเสด็จที่ลานพระบรมรูปทรงม้า รู้สึกดีใจและตื้นตันใจมากที่ได้เห็นพระองค์ท่าน แต่ความรู้สึกที่ได้มากราบถวายสักการะในครั้งนี้มีความรู้สึกว่าสูญเสียมากที่สุดในชีวิต พระองค์ท่านเป็นพ่อที่ประเสริฐที่สุดในโลกนี้ จะน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านไปปฏิบัติ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง และไม่อยากให้คนไทยแบ่งแยก ให้คิดว่าเราทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะพวกเราเป็นลูกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยกันทุกคน และขอขอบพระคุณที่พระองค์ให้ทุกอย่างกับพวกเราคนไทย ขอขอบพระคุณที่พระองค์สอนให้รู้จักหลักเศรษฐกิจพอเพียง สอนให้รู้จักอดทน รู้จักแบ่งปัน และสอนให้คนไทยรักกัน และให้เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
"การสูญเสียครั้งนี้สอนให้รู้ว่า หากจะทำอะไรให้กับคนที่เรารักที่สุดก็อย่ารอ ไม่ว่ากับพ่อแม่ เพื่อนร่วมงาน และบ้านเมือง เพราะหากรอวันต่อไปเราอาจจะไม่ได้ทำ เหมือนอย่างที่เราอยากมาเห็นพระองค์ท่านตอนมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้เห็น เราเห็นแต่ทางทีวี วันนี้จึงตั้งใจว่าจะต้องมาให้ได้ มาเห็นพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย และพระองค์จะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป มีลูกมีหลานก็จะสอนให้ระลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่านตลอดไป"
ขณะที่นางจุฑารัตน์ สุเมขะโส อายุ 66 ปี ชาว ต.หนองขาหยั่ง อ.บางแขม จ.นครปฐม กล่าวว่า ตนเดินทางมาถวายสักการะเป็นครั้งที่สอง โดยในวันนี้เดินทางมาพร้อมกับลูกชายและลูกสะใภ้ จึงได้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จที่ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งในช่วงนั้นพระองค์ท่านยังทรงแข็งแรง เห็นแล้วก็ปลื้มปีติมาก ต่างกับวันนี้ซึ่งความรู้สึกเหมือนสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยว ตอนท่านประชวรก็คิดว่ายังไงท่านก็ยังอยู่ ก็ได้มาลงนามถวายพระพรสองครั้ง แต่พอรู้ว่าท่านเสด็จสวรรคตก็ร้องไห้เสียใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พระองค์ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน ตนก็ได้น้อมนำหลักคำสอนของพระองค์มาสอนลูกๆ ให้มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการฉ้อฉล ขณะนี้ลูกๆ ทุกคนทำงานรับราชการ และบริษัทเอกชน คิดว่าที่ลูกๆ ได้ดีเพราะคำสอนของพระองค์ท่าน