นายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) เปิดเผยกรณีคำพิพากษาศาลจังหวัดพระโขนงยกฟ้อง 8 ผู้บริหารของ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ที่สวนทางกับคำสั่ง ก.ล.ต. ที่แจ้งบุคคลมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการ และผู้บริหารของบริษัทว่า การดำเนินการของ ก.ล.ต. เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ชัดเจน และมีการพิจารณารอบคอบแล้ว โดยพบว่าคำสั่งดังกล่าวเข้าองค์ประกอบ บุคคลกลุ่มดังกล่าวจะขาดคุณสมบัติในทันที โดย ก.ล.ต.ขอชี้แจงว่า กระบวนการพิจารณาของ ก.ล.ต. ในกรณีดังกล่าวได้เริ่มขึ้น และดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างรัดกุม นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต.ได้รับทราบเรื่องการสั่งฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ โดย ก.ล.ต.ได้มีการประสานงานกับสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร และหารือผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าได้ข้อเท็จจริง และความเห็นที่ครบถ้วนเพียงพอ ซึ่งการดำเนินตามที่กล่าวได้แล้วเสร็จก่อนที่ศาลจังหวัดพระโขนงจะมีคำพิพากษาในคดีแพ่ง
สำหรับคดีที่ศาลจังหวัดพระโขนงได้มีคำพิพากษาเป็นคดีแพ่ง ซึ่งผู้ถือหุ้นของเอ็นเอ็มจีได้ยื่นฟ้องต่อบริษัท และกรรมการของบริษัท แต่คำสั่งของ ก.ล.ต.ได้พิจารณาจากการสั่งฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการที่สั่งฟ้องให้บุคคลทั้ง 8 ราย มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ จึงไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการ และผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนใดๆ ไปจนกว่าการดำเนินคดีอาญาจะสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม บุคคลทั้ง 8 ราย มีสิทธิที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลทั่วไปภายใต้กรอบของกฎหมาย
สำหรับคดีที่ศาลจังหวัดพระโขนงได้มีคำพิพากษาเป็นคดีแพ่ง ซึ่งผู้ถือหุ้นของเอ็นเอ็มจีได้ยื่นฟ้องต่อบริษัท และกรรมการของบริษัท แต่คำสั่งของ ก.ล.ต.ได้พิจารณาจากการสั่งฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการที่สั่งฟ้องให้บุคคลทั้ง 8 ราย มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจ จึงไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการ และผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียนใดๆ ไปจนกว่าการดำเนินคดีอาญาจะสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม บุคคลทั้ง 8 ราย มีสิทธิที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลทั่วไปภายใต้กรอบของกฎหมาย