ดร.ประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า โอกาสที่คนไทยจะได้ใช้ประชาธิปไตยโดยตรงมีน้อย สำหรับประเทศไทยมีการออกเสียงประชามติ ซึ่งเป็นการใช้ประชาธิปไตยโดยตรง น้อยมาก คือ ครั้งที่ 1 การลงเสียงประชามติ ในปี 2550 และครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 เพราะการเลือกตั้งที่ต่างๆ ผ่านมาถือเป็น ประชาธิปไตยทางอ้อมทั้งหมด เช่น การเลือกคนไปออกกฎหมายในสภา การเลือกคนไปเป็นรัฐบาล ดังนั้น การออกเสียงประชามติในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอยากให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การออกเสียงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม กกต. ได้พยายามอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ทั้งการบริการหน้าหน่วยเลือกตั้ง และการขยายเวลาการออกเสียง ในวันที่ 7 สิงหาคม เป็น 08.00-16.00 น. เพื่อจูงใจให้ประชาชนออกไปลงประชามติให้มากที่สุด
กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด สำหรับการประชาสัมพันธ์ประชามติในครั้งนี้ได้รับการตอบรับดีมากจากทุกภาคส่วน และการจัดการลงประชามติในครั้งนี้มีเวลายาวมากเมื่อเทียบกับการลงประชามติเมื่อปี 2550 ซึ่งมีเวลาเพียง 20 วัน แต่ครั้งนี้มีเวลาในการประชาสัมพันธ์ รวม 116 วัน และได้ใช้สื่อบุคคลออกไปรณรงค์ โดยเน้นใช้สื่อบุคคลที่มีคุณภาพ เช่น อาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้าน สื่ออาสา สื่อมวลชน รด.จิตอาสา โดยมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี จึงอยากเห็นประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ให้มาก ซึ่งโดยในส่วนของ กกต. ได้ตั้งเป้าไว้จะมีผู้มาใช้สิทธิ์ร้อยละ 80
อย่างไรก็ตาม การออกเสียงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม กกต. ได้พยายามอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ทั้งการบริการหน้าหน่วยเลือกตั้ง และการขยายเวลาการออกเสียง ในวันที่ 7 สิงหาคม เป็น 08.00-16.00 น. เพื่อจูงใจให้ประชาชนออกไปลงประชามติให้มากที่สุด
กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด สำหรับการประชาสัมพันธ์ประชามติในครั้งนี้ได้รับการตอบรับดีมากจากทุกภาคส่วน และการจัดการลงประชามติในครั้งนี้มีเวลายาวมากเมื่อเทียบกับการลงประชามติเมื่อปี 2550 ซึ่งมีเวลาเพียง 20 วัน แต่ครั้งนี้มีเวลาในการประชาสัมพันธ์ รวม 116 วัน และได้ใช้สื่อบุคคลออกไปรณรงค์ โดยเน้นใช้สื่อบุคคลที่มีคุณภาพ เช่น อาสาสมัครประชาสัมพันธ์ประจำหมู่บ้าน สื่ออาสา สื่อมวลชน รด.จิตอาสา โดยมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี จึงอยากเห็นประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ให้มาก ซึ่งโดยในส่วนของ กกต. ได้ตั้งเป้าไว้จะมีผู้มาใช้สิทธิ์ร้อยละ 80
