รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม อ่านคำพิพากษาคดีที่นายไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือ ปอ ประตูน้ำ วัย 75 ปี อดีตเจ้าพ่อกาสิโนประเทศไทย ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเข้าแผ้วถาง ก่นสร้าง หรือทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันสร้างสิ่งอื่นใดล่วงล้ำเข้าไปในทะเลในเขตน่านน้ำไทย อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรม สั่งลงโทษจำคุก 12 ปี และปรับ 69,255,000 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้คำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวให้จำคุก 5 ปี นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยยื่นฎีกา
ต่อมาระหว่างการพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพในชั้นศาลฎีกา และขอให้ลงโทษสถานเบา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยถมดินลงไปในทะเลเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก จนยากที่จะเยียวยาแก้ไขให้มีสภาพกลับมาดีดังเดิมได้อีก แม้จะมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบางส่วนออกตามที่จำเลยอ้างแล้วก็ตาม แต่สภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอาจกลับมาเหมือนเดิม และมีการบุกรุกเนื้อที่ทะเลเป็นจำนวนมาก การกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายโดยส่วนร่วม จำเลยกระทำอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษจำคุกจำเลยเพียง 5 ปี ยังนับว่าเป็นโทษที่เบาเกินไป
ศาลฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 12 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่อาจรอการลงโทษจำคุกได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรม สั่งลงโทษจำคุก 12 ปี และปรับ 69,255,000 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก้คำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยกรรมเดียวให้จำคุก 5 ปี นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยยื่นฎีกา
ต่อมาระหว่างการพิจารณาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพในชั้นศาลฎีกา และขอให้ลงโทษสถานเบา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยถมดินลงไปในทะเลเป็นการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก จนยากที่จะเยียวยาแก้ไขให้มีสภาพกลับมาดีดังเดิมได้อีก แม้จะมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบางส่วนออกตามที่จำเลยอ้างแล้วก็ตาม แต่สภาพแวดล้อมใต้ท้องทะเลก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอาจกลับมาเหมือนเดิม และมีการบุกรุกเนื้อที่ทะเลเป็นจำนวนมาก การกระทำของจำเลยเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายโดยส่วนร่วม จำเลยกระทำอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง พฤติการณ์ของจำเลยเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดโทษจำคุกจำเลยเพียง 5 ปี ยังนับว่าเป็นโทษที่เบาเกินไป
ศาลฎีกา พิจารณาแล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 12 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่อาจรอการลงโทษจำคุกได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
