นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา หอการค้าไทย- จีน เรื่อง "อนาคตเศรษฐกิจไทยในยุค 4.0" โดยระบุว่า รัฐบาลใช้เวลาอย่างเต็มที่ 6 เดือนไม่ให้เศรษฐกิจไทยทรุดลงท่ามกลางการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก เพื่อให้คนไทยอยู่ได้ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (21 มิ.ย.) จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชุดใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของรายได้และช่วยเหลือเกษตรกรในฤดูการผลิตใหม่ที่กำลังจะมาถึงในเดือนตุลาคมนี้ เป็นต้นไป
นายสมคิด กล่าวว่า แม้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกปีนี้ จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.2 แต่ยังต้องลุ้นในช่วงที่เหลือของปี เพราะหลายปัจจัยขึ้นกับเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ดังนั้น ประเทศไทยต้องพึ่งพาตนเอง และพึ่งพาอาเซียนที่ยังมีการเติบโตสูงทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำปรากฎการณ์ 3 สิ่ง คือ ความมุ่งมั่นการปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยการลงทุนวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ขณะที่ปรากฎการณ์การลงทุน โดยรัฐบาลชุดนี้มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่และออกกฎหมายธรรมาภิบาลที่แสดงถึงความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และอันดับประเทศไทยในการเป็นประเทศที่อำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนก็ขยับดีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 49 จาก 180 ประเทศ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไทยเป็นฮับของอาเซียน ดังนั้น เอกชนต้องเร่งลงทุนเพื่อร่วมยกระดับประเทศ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิตอล แต่หากเอกชนยังไม่พร้อมการลงทุนใหม่ให้ลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตและเครื่องจักร
นอกจากนี้ ยังมีปรากฎการณ์ความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ทำให้รัฐบาลขยายสัดส่วนการค้าไทย-AEC เพิ่มจากร้อยละ 10 เป็น 20 และไทยจะเพิ่มการลงทุนใน AEC จาก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ร่วมสนับสนุนให้ประเทศในกลุ่ม AEC เดินควบคู่กับไทยเพื่อดึงการลงทุนจากต่างชาติ
ขณะเดียวกัน นายสมคิด ยังกล่าวเรียกร้องความร่วมมือจากเอกชนด้วยว่า ขอให้เอกชนเสียสละช่วยประเทศไทย ในตอนนี้ต้องแสดงพลัง โดยเฉพาะ 2-3 ปีนี้เป็นจุดพลิกผันของประเทศ อยากเห็นความร่วมมือของเอกชน โดยเฉพาะสมาคมหอการค้าไทยจีน สมาคมแซ่ต่างๆ ออกมาร่วมมือกับรัฐบาลผลักดันประเทศร่วมกัน
นายสมคิด กล่าวว่า แม้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกปีนี้ จะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.2 แต่ยังต้องลุ้นในช่วงที่เหลือของปี เพราะหลายปัจจัยขึ้นกับเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน ดังนั้น ประเทศไทยต้องพึ่งพาตนเอง และพึ่งพาอาเซียนที่ยังมีการเติบโตสูงทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ยั่งยืน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำปรากฎการณ์ 3 สิ่ง คือ ความมุ่งมั่นการปฏิรูปประเทศลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถการแข่งขันของประเทศ ด้วยการลงทุนวิจัยและพัฒนา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ขณะที่ปรากฎการณ์การลงทุน โดยรัฐบาลชุดนี้มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่และออกกฎหมายธรรมาภิบาลที่แสดงถึงความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และอันดับประเทศไทยในการเป็นประเทศที่อำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนก็ขยับดีขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 49 จาก 180 ประเทศ และจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไทยเป็นฮับของอาเซียน ดังนั้น เอกชนต้องเร่งลงทุนเพื่อร่วมยกระดับประเทศ โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิตอล แต่หากเอกชนยังไม่พร้อมการลงทุนใหม่ให้ลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตและเครื่องจักร
นอกจากนี้ ยังมีปรากฎการณ์ความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ทำให้รัฐบาลขยายสัดส่วนการค้าไทย-AEC เพิ่มจากร้อยละ 10 เป็น 20 และไทยจะเพิ่มการลงทุนใน AEC จาก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ร่วมสนับสนุนให้ประเทศในกลุ่ม AEC เดินควบคู่กับไทยเพื่อดึงการลงทุนจากต่างชาติ
ขณะเดียวกัน นายสมคิด ยังกล่าวเรียกร้องความร่วมมือจากเอกชนด้วยว่า ขอให้เอกชนเสียสละช่วยประเทศไทย ในตอนนี้ต้องแสดงพลัง โดยเฉพาะ 2-3 ปีนี้เป็นจุดพลิกผันของประเทศ อยากเห็นความร่วมมือของเอกชน โดยเฉพาะสมาคมหอการค้าไทยจีน สมาคมแซ่ต่างๆ ออกมาร่วมมือกับรัฐบาลผลักดันประเทศร่วมกัน
