จากกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. นางธิดา ถาวรเศรษฐ และนพ.เหวง โตจิราการ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร้องเรียนกรณีศูนย์ปราบโกงประชามติของ นปช.ถูกทหารข่มขู่ สั่งห้ามเปิดในภูมิภาค
เมื่อวันที่11 มิถุนายน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ส่วนงานรักษา ความสงบ สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า การทำประชามตินั้นมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ แต่การที่กลุ่มผู้เห็นต่างมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามตินั้น ทางคสช.ติดตามการเคลื่อนไหวและมีข้อสังเกตว่ากลุ่มดังกล่าวเคยเป็นคู่ขัดแย้งมาก่อน อีกทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียงทางการเมือง เพราะฉะนั้นการออกมาเคลื่อนไหวน่าจะมีนัยยะแอบแฝงทางการเมือง จนนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย ทั้งยังไม่มีกฎหมายรองรับอีกด้วย
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวต่อว่า ผู้เคลื่อนไหวก็เคยลงนามในประกาศ คสช.ที่ฉบับ39/2557 การกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่มารายงานตัวต่อคสช. และประกาศคสช.ฉบับ ที่3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ที่จะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองและเดินทางออกนอกประเทศ โดยการเคลื่อนไหวทางการเมืองคสช.ยังไม่อนุญาตให้ใครสามารถกระทำได้ ถ้าเคลื่อนไหวอีกจะเข้าข่ายผิดข้อตกลง ส่วนทางนปช.จะเปิดศูนย์ฯในวันที่19 มิถุนายนนั้น ตนขอชี้แจงว่าในพื้นที่ต่างๆเรามีการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าไม่มีเหตุสมควรจะตั้งศูนย์ดังกล่าว
ซึ่งพี่น้องประชาชนก็เข้าใจ หากใครก็ตามที่จะเคลื่อนไหวก็ต้องระมัดระวังให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะคสช.ยังคงบังคับใช้กฏหมายหลายอยู่ โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อย่างไรก็ตามเราจะไม่พยามใช้กฎหมายพิเศษเพียงแต่ใช้กฎหมายปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยสอดส่องดูแล ทั้งนี้หากกลุ่ม นปช.ยังเคลื่อนไหวอยู่ก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยที่เราก็บอกเขาว่าถ้าทำอะไรที่บ่อแหลมต่อการขัดประกาศ คสช.ก็จะผิดกฎหมาย
“บทบาทและจุดยืนของคนเห็นต่างย่อมต้องดำรงสถานะทางการเมืองอยู่เพื่อรักษาฐานมวลชนไว้ ตรงนี้เราเข้าใจ พวกเขาก็ต้องพยามมีกิจกรรม เพื่อบ่งบอกว่ายังมีมวลชนอยู่ ถ้าไม่เคลื่อนไหวเลยคงไม่มีมวลชน สิ่งเหล่านี้คสช.เฝ้าติดตามอยู่ พร้อมทั้งบอกให้พี่น้องประชาชนช่วยกันสังเกตเฝ้าดูด้วย “พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการที่นายจตุพรอ้างว่ามีทหารไปคุกคามไม่ให้เปิดศูนย์ฯ ตามพื้นที่ต่างๆ คสช.จะชี้แจงอย่างไร พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.ไม่ไปคุกคามใครหรอก เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น แต่อาจจะแปลเจตนาต่างๆว่าการทำความเข้าใจเรื่องต่างๆเป็นการคุกคาม เพราะทหารมีอยู่ทุกพื้นที่ถ้าอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เราต้องมีการไปบอกกล่าวตักเตือน แต่การที่พวกเขาอาจจะใช้คำพูดเช่นนี้คงหวังจะบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าเป็นการคุกคาม ซึ่งขอย้ำว่าข้อเท็จจริงเป็นการไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และทำผิดกฎหมาย
ด้านพล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ท้พภาคที่3 กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าในพื้นที่ของกองทัพภาคที่3 ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารไปกดดันการเปิดศูนย์ปราบโกงของกลุ่ม นปช.แต่อย่างใด ทั้งนี้การดำเนินการใดๆก็ตามต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย ซึ่งการจัดตั้งศูนย์อะไรก็ตามต้องมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอนตามกฎหมาย และมีความมุ่งหมายว่าตั้งเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าอยากจะคิดอะไรก็ตั้ง ใครอยากจะเป็นอะไรก็เป็น แบบนี้คิดว่าคงไม่ใช่ ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองคงปั่นป่วนวุ่นวาย อย่างไรก็ตามในพื้นที่กองทัพภาคที่3 ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ พร้อมทั้งย้ำว่าในพื้นที่ของตนจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายทั้งหมด รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศของคสช.
“ถ้าการดำเนินการอะไรก็ตามที่ไม่ขัดกับกฎหมาย คำสั่ง หรือประกาศของคสช. ก็ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งการตั้งองค์กรต้องมีการขออนุญาตที่ชัดเจน ไม่ใช่คิดอะไรก็จะตั้ง ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองคงวุ่นวายไปหมด” พล.ท.สมศักดิ์ กล่าว
เมื่อวันที่11 มิถุนายน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ รองหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ส่วนงานรักษา ความสงบ สำนักงานเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า การทำประชามตินั้นมีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้ว พร้อมทั้งมีอำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ แต่การที่กลุ่มผู้เห็นต่างมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามตินั้น ทางคสช.ติดตามการเคลื่อนไหวและมีข้อสังเกตว่ากลุ่มดังกล่าวเคยเป็นคู่ขัดแย้งมาก่อน อีกทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียงทางการเมือง เพราะฉะนั้นการออกมาเคลื่อนไหวน่าจะมีนัยยะแอบแฝงทางการเมือง จนนำไปสู่ความสับสนวุ่นวาย ทั้งยังไม่มีกฎหมายรองรับอีกด้วย
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวต่อว่า ผู้เคลื่อนไหวก็เคยลงนามในประกาศ คสช.ที่ฉบับ39/2557 การกำหนดเงื่อนไขการปล่อยตัวของบุคคลที่มารายงานตัวต่อคสช. และประกาศคสช.ฉบับ ที่3/2558 เรื่อง การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ที่จะไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองและเดินทางออกนอกประเทศ โดยการเคลื่อนไหวทางการเมืองคสช.ยังไม่อนุญาตให้ใครสามารถกระทำได้ ถ้าเคลื่อนไหวอีกจะเข้าข่ายผิดข้อตกลง ส่วนทางนปช.จะเปิดศูนย์ฯในวันที่19 มิถุนายนนั้น ตนขอชี้แจงว่าในพื้นที่ต่างๆเรามีการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าไม่มีเหตุสมควรจะตั้งศูนย์ดังกล่าว
ซึ่งพี่น้องประชาชนก็เข้าใจ หากใครก็ตามที่จะเคลื่อนไหวก็ต้องระมัดระวังให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะคสช.ยังคงบังคับใช้กฏหมายหลายอยู่ โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อย่างไรก็ตามเราจะไม่พยามใช้กฎหมายพิเศษเพียงแต่ใช้กฎหมายปกติ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยสอดส่องดูแล ทั้งนี้หากกลุ่ม นปช.ยังเคลื่อนไหวอยู่ก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยที่เราก็บอกเขาว่าถ้าทำอะไรที่บ่อแหลมต่อการขัดประกาศ คสช.ก็จะผิดกฎหมาย
“บทบาทและจุดยืนของคนเห็นต่างย่อมต้องดำรงสถานะทางการเมืองอยู่เพื่อรักษาฐานมวลชนไว้ ตรงนี้เราเข้าใจ พวกเขาก็ต้องพยามมีกิจกรรม เพื่อบ่งบอกว่ายังมีมวลชนอยู่ ถ้าไม่เคลื่อนไหวเลยคงไม่มีมวลชน สิ่งเหล่านี้คสช.เฝ้าติดตามอยู่ พร้อมทั้งบอกให้พี่น้องประชาชนช่วยกันสังเกตเฝ้าดูด้วย “พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่าการที่นายจตุพรอ้างว่ามีทหารไปคุกคามไม่ให้เปิดศูนย์ฯ ตามพื้นที่ต่างๆ คสช.จะชี้แจงอย่างไร พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า คสช.ไม่ไปคุกคามใครหรอก เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น แต่อาจจะแปลเจตนาต่างๆว่าการทำความเข้าใจเรื่องต่างๆเป็นการคุกคาม เพราะทหารมีอยู่ทุกพื้นที่ถ้าอะไรที่ไม่ชอบมาพากล เราต้องมีการไปบอกกล่าวตักเตือน แต่การที่พวกเขาอาจจะใช้คำพูดเช่นนี้คงหวังจะบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าเป็นการคุกคาม ซึ่งขอย้ำว่าข้อเท็จจริงเป็นการไปชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และทำผิดกฎหมาย
ด้านพล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ท้พภาคที่3 กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าในพื้นที่ของกองทัพภาคที่3 ไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารไปกดดันการเปิดศูนย์ปราบโกงของกลุ่ม นปช.แต่อย่างใด ทั้งนี้การดำเนินการใดๆก็ตามต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย ซึ่งการจัดตั้งศูนย์อะไรก็ตามต้องมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอนตามกฎหมาย และมีความมุ่งหมายว่าตั้งเพื่ออะไร ไม่ใช่ว่าอยากจะคิดอะไรก็ตั้ง ใครอยากจะเป็นอะไรก็เป็น แบบนี้คิดว่าคงไม่ใช่ ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองคงปั่นป่วนวุ่นวาย อย่างไรก็ตามในพื้นที่กองทัพภาคที่3 ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในการตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ พร้อมทั้งย้ำว่าในพื้นที่ของตนจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายทั้งหมด รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งและประกาศของคสช.
“ถ้าการดำเนินการอะไรก็ตามที่ไม่ขัดกับกฎหมาย คำสั่ง หรือประกาศของคสช. ก็ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งการตั้งองค์กรต้องมีการขออนุญาตที่ชัดเจน ไม่ใช่คิดอะไรก็จะตั้ง ถ้าทำแบบนั้นบ้านเมืองคงวุ่นวายไปหมด” พล.ท.สมศักดิ์ กล่าว