พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการดำเนินการตามมาตรการการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจำนอง เหลือร้อยละ 0.01 ว่า ข้อมูลตั้งแต่ วันที่ 29 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นวันเริ่มมาตรการ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พบว่ามีผู้มารับบริการจากมาตรการจำนวน 321,488 ราย จำแนกเป็น การโอน 201,884 ราย และการจำนอง 119,604 ราย โดยราคาประเมินสินทรัพย์ที่มีโอนและจำนอง รวม 569,762 ล้านบาท
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดลง เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา คือ วันที่ 28 เมษายน คาดการณ์ว่ายอดผู้มาใช้บริการตลอดการดำเนินมาตรการ 6 เดือน น่าจะใกล้เคียง 400,000 ราย เพราะยิ่งใกล้ช่วงสิ้นสุดมาตรการ จำนวนการทำธุรกรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น โดยดูจากจำนวนการโอนการจดจำนองในเดือนมีนาคม ที่มียอดผู้ใช้บริการ 78,486 ราย เพิ่มจากเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีผู้ใช้บริการ 53,668 ราย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.24
อย่างไรก็ตาม แม้ผลจากการดำเนินมาตรการจะทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แต่รัฐบาลเชื่อว่ามาตรการนี้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง เพราะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ผลักดันการเติบโตของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ ช่วยประหยัดเม็ดเงินในกระเป๋าของประชาชน ส่งผลให้มีกำลังซื้อ และมีความสามารถในการใช้จ่ายมากขึ้น เกิดการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดลง เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา คือ วันที่ 28 เมษายน คาดการณ์ว่ายอดผู้มาใช้บริการตลอดการดำเนินมาตรการ 6 เดือน น่าจะใกล้เคียง 400,000 ราย เพราะยิ่งใกล้ช่วงสิ้นสุดมาตรการ จำนวนการทำธุรกรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น โดยดูจากจำนวนการโอนการจดจำนองในเดือนมีนาคม ที่มียอดผู้ใช้บริการ 78,486 ราย เพิ่มจากเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีผู้ใช้บริการ 53,668 ราย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.24
อย่างไรก็ตาม แม้ผลจากการดำเนินมาตรการจะทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้น้อยลง แต่รัฐบาลเชื่อว่ามาตรการนี้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง เพราะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ผลักดันการเติบโตของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ ช่วยประหยัดเม็ดเงินในกระเป๋าของประชาชน ส่งผลให้มีกำลังซื้อ และมีความสามารถในการใช้จ่ายมากขึ้น เกิดการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทางหนึ่ง
