นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เรื่อง เอากันแบบนี้เลยเหรอ โดยระบุว่านักกฎหมายทั่วโลกตกตะลึงกับข่าวการจับกุมมือโพสต์ทั้ง 8 คน ที่ล้อเลียนทางการเมือง โดยนำภาพของนายกรัฐมนตรีพร้อมนำคำพูดขำ ๆ มาใส่ จากนั้นจะนำคำพูดพร้อมภาพประกอบโพสต์ลงในเพจ แต่ถูกดำเนินคดีในศาลทหารในข้อหาความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และไม่ได้รับการประกันตัว ทั้งนี้ ความผิดตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จะต้องมีเจตนาพิเศษคือ เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร แต่เจตนาที่แท้จริงของมือโพสต์ทั้ง 8 ปรากฏตามคำขอฝากฝังของพนักงานสอบสวน คือคนเหล่านี้ต้องการทำให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเป็นตัวตลก ไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ ซึ่งดูแล้วก็ตรงกับพฤติกรรมที่กระทำที่นำเอาคำพูดขำ ๆ มาใส่ ดังนั้นการกระทำของมือโพสต์ทั้ง 8 คน จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดต่อความมั่นคงของรัฐตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหา
นายวัฒนา ระบุอีกว่า นักกฎหมายส่วนใหญ่คงเคยได้ยินภาษิตกฎหมายโรมันที่ว่า Inter arma silent leges แปลเป็นไทยคือ ท่ามกลางอาวุธ กฎหมายย่อมไม่มีเสียง คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจอาวุธแทนที่กฎหมายนั้นเป็นวิถีปกติของสังคมมนุษย์และเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะในสภาวะที่ประเทศไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนย่อมไม่มีหลักประกันแห่งเสรีภาพ การล้อเลียนผู้นำที่ทำกันมาทุกสมัยและไม่เคยถือเป็นความผิดมาก่อน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังเคยกล่าวในทำนองล้อเลียนอดีตนายกรัฐมนตรีว่า ก้มหน้าอ่านโพย ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีดูเป็นตัวตลกและไร้ความสามารถเช่นกัน ซึ่งไม่เป็นความผิด แต่พอตัวเองถูกล้อเลียนบ้างกลับถือเป็นความผิดขนาดเป็นภัยต่อความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวทำนองไม่ชอบคนที่เปิดประตูให้คนนอกมาทำลายประเทศ แต่ท่านคงลืมไปว่าประชาคมโลกมีหลักการสำคัญคือการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ยกเว้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาคมโลกก็จะเข้าแทรกแซงตามหลักการที่เรียกว่าการแทรกแซงเพื่อมนุษยธรรม ดังนั้นการที่ประชาคมโลกสามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราได้ แปลว่าไทยเรากำลังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน คนที่ทำละเมิดต่างหากคือคนที่เปิดประตูและสมควรถูกประณาม ระวังการดำเนินคดีข้างต้นที่ผู้ทำมีเจตนาเพียงต้องการล้อเลียนผู้นำ แต่กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงเพื่อเอาพลเรือนไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งขัดกับข้อ 10 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และข้อ 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อันเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่เราลงนามผูกพันไว้และต้องปฏิบัติตาม อย่าลืมโกรธคนที่ตั้งข้อกล่าวหาด้วย เพราะนั่นคือคนที่เปิดประตูให้ประชาคมโลกเข้ามา
นายวัฒนา ระบุอีกว่า นักกฎหมายส่วนใหญ่คงเคยได้ยินภาษิตกฎหมายโรมันที่ว่า Inter arma silent leges แปลเป็นไทยคือ ท่ามกลางอาวุธ กฎหมายย่อมไม่มีเสียง คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจอาวุธแทนที่กฎหมายนั้นเป็นวิถีปกติของสังคมมนุษย์และเกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะในสภาวะที่ประเทศไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ประชาชนย่อมไม่มีหลักประกันแห่งเสรีภาพ การล้อเลียนผู้นำที่ทำกันมาทุกสมัยและไม่เคยถือเป็นความผิดมาก่อน แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันยังเคยกล่าวในทำนองล้อเลียนอดีตนายกรัฐมนตรีว่า ก้มหน้าอ่านโพย ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีดูเป็นตัวตลกและไร้ความสามารถเช่นกัน ซึ่งไม่เป็นความผิด แต่พอตัวเองถูกล้อเลียนบ้างกลับถือเป็นความผิดขนาดเป็นภัยต่อความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวทำนองไม่ชอบคนที่เปิดประตูให้คนนอกมาทำลายประเทศ แต่ท่านคงลืมไปว่าประชาคมโลกมีหลักการสำคัญคือการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ยกเว้นมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาคมโลกก็จะเข้าแทรกแซงตามหลักการที่เรียกว่าการแทรกแซงเพื่อมนุษยธรรม ดังนั้นการที่ประชาคมโลกสามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราได้ แปลว่าไทยเรากำลังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน คนที่ทำละเมิดต่างหากคือคนที่เปิดประตูและสมควรถูกประณาม ระวังการดำเนินคดีข้างต้นที่ผู้ทำมีเจตนาเพียงต้องการล้อเลียนผู้นำ แต่กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงเพื่อเอาพลเรือนไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งขัดกับข้อ 10 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และข้อ 14 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อันเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่เราลงนามผูกพันไว้และต้องปฏิบัติตาม อย่าลืมโกรธคนที่ตั้งข้อกล่าวหาด้วย เพราะนั่นคือคนที่เปิดประตูให้ประชาคมโลกเข้ามา