ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 มี.ค.) โดยบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลุดจากระดับ 40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายหลังจากที่เกิดเหตุก่อการร้ายในเบลเยียม
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,502.59 จุด ลดลง 79.98 จุด หรือ -0.45% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,768.86 จุด ลดลง 52.80 จุด หรือ -1.10% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,036.71 จุด ลดลง 13.09 จุด หรือ -0.64%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลง 4% สู่ระดับต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มี.ค. พุ่งขึ้น 9.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล
การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเชฟรอนร่วงลง 2% หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ดิ่งลงกว่า 2% หุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลง 8% หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 7.3% และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 14.3%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ดิ่งลง 11% หุ้นอัลโอ อิงค์ ร่วงลง 5.4% และหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง ร่วงลง 8.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 2.3% และหุ้นโคเมริกา ดิ่งลง 2%
หุ้นไนกี้ ร่วงลง 3.79% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายหลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายที่สนามบินและสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 คนและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยสนามบินบรัสเซลส์ประกาศปิดทำการในวันนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีการยกเลิกเที่ยวบินวันละราว 600 เที่ยว และจะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารรวมราว 180,000 คน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในระหว่างวัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ. สู่ระดับ 512,000 ยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 510,000 ยูนิต
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดส่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมี.ค.โดยมาร์กิต
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยการประมาณการครั้งสุดท้ายของตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2558 และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ไตรมาส 4/2558
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,502.59 จุด ลดลง 79.98 จุด หรือ -0.45% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,768.86 จุด ลดลง 52.80 จุด หรือ -1.10% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,036.71 จุด ลดลง 13.09 จุด หรือ -0.64%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ร่วงลง 4% สู่ระดับต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มี.ค. พุ่งขึ้น 9.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล
การร่วงลงของราคาน้ำมันดิบได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลงด้วย โดยหุ้นเชฟรอนร่วงลง 2% หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ดิ่งลงกว่า 2% หุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลง 8% หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 7.3% และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 14.3%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ดิ่งลง 11% หุ้นอัลโอ อิงค์ ร่วงลง 5.4% และหุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง ร่วงลง 8.8%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 2.3% และหุ้นโคเมริกา ดิ่งลง 2%
หุ้นไนกี้ ร่วงลง 3.79% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่น้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายหลังจากเกิดเหตุก่อการร้ายที่สนามบินและสถานีรถไฟใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 คนและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยสนามบินบรัสเซลส์ประกาศปิดทำการในวันนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มีการยกเลิกเที่ยวบินวันละราว 600 เที่ยว และจะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารรวมราว 180,000 คน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในระหว่างวัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ. สู่ระดับ 512,000 ยูนิต สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 510,000 ยูนิต
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้ สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดส่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมี.ค.โดยมาร์กิต
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยการประมาณการครั้งสุดท้ายของตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2558 และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ไตรมาส 4/2558