นายศุภภัทร์พจน์ นิติศธร ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า รถยนต์โบราณเบนซ์ ที่มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นผู้ครอบครองนั้น นำเข้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ว่า กระบวนการนำเข้าอะไหล่เพื่อมาประกอบรถยนต์เป็นเรื่องของอู่วิชาญ และผู้นำเข้าทั้งหมด ไม่มีขั้นตอนใดที่เกี่ยวข้องกับผู้บริจาค และสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ทั้งสิ้น โดยขั้นตอนทั้งหมดเริ่มจากที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำไปเห็นซากรถคันดังกล่าว และได้ว่าจ้างอู่วิชาญให้ประกอบรถขึ้น โดยให้ทำอย่างใดก็ได้ให้ซากรถคันนี้เป็นรถที่จดทะเบียนได้ จากนั้น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และอู่วิชาญได้ตกลงราคาในการซ่อมรถเป็นเงิน 4 ล้านบาท แบ่งจ่ายเป็น 3 งวด เมื่อตกลงกันเสร็จ ทางอู่เริ่มซ่อมรถ และมอบให้บุคคลอีก 2 ราย เป็นผู้นำเข้าอะไหล่ โดยมาเบิกเงินกับทางอู่ หากการนำเข้ารถยนต์ และอะไหล่ผิดกฎหมายจริง ก็เป็นเรื่องดีเอสไอจะต้องตรวจสอบ และดำเนินการเอาผิดกับผู้นำเข้า และหน่วยงานราชการ อาทิ กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมการขนส่งทางบก โดยเฉพาะกรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องตรวจสอบ และประเมิน รวมถึงเรียกเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าทุกชนิด