ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดเสวนา ราชดำเนินเสวนาหัวข้อ "กฤษฎีกาตีความ ทำลายระบบหลักประกัน? ผลกระทบและทางออก" โดยมีนักกฎหมายและภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ซึ่ง นายสุมล ศรีสุขวัฒนา ที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวถึงปัญหาการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า มี 5 ประเด็น คือ
1.เรื่องการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขขัดต่อวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย
2.การใช้จ่ายเงินกองทุนเหมาจ่ายรายหัวของหน่วยบริการที่ได้รับจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยบริการนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำในกิจการของหน่วยบริการ เช่น ค่าสาธารณูปโภคได้หรือไม่
3.งบที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถนำไปให้กับหน่วยอื่นได้หรือไม่
4.การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และ 5.การจ่ายเงินค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับการล้างไตผ่านช่องท้อง
ด้าน น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวถึงปัญหาการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความขัดกับเจตนารมณ์ของข้อกฎหมาย และตนไม่ต้องการให้มีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และมีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหา คือ การแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ให้มากที่สุด
1.เรื่องการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้ให้บริการได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุขขัดต่อวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย
2.การใช้จ่ายเงินกองทุนเหมาจ่ายรายหัวของหน่วยบริการที่ได้รับจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หน่วยบริการนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำในกิจการของหน่วยบริการ เช่น ค่าสาธารณูปโภคได้หรือไม่
3.งบที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถนำไปให้กับหน่วยอื่นได้หรือไม่
4.การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และ 5.การจ่ายเงินค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องกับการล้างไตผ่านช่องท้อง
ด้าน น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวถึงปัญหาการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความขัดกับเจตนารมณ์ของข้อกฎหมาย และตนไม่ต้องการให้มีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และมีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหา คือ การแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ให้มากที่สุด