จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเรือสปีดโบ๊ตชื่อ "ซันซาน 2" ชนครูสอนดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่เรียนดำน้ำชาวรัสเซียบาดเจ็บสาหัส 2 คน โดยถูกใบพัดเรือฟันที่ขาขวาบริเวณปากอ่าวมาหยา ระหว่างเกาะพีพีเลและเกาะพีพีดอน ต.อ่างนาง อ.เมืองกระบี่ เหตุเกิดช่วงบ่ายวานนี้ (3 ก.พ.2559) โดยกัปตันเรือให้การว่าชาวต่างชาติทั้ง 2 คนดำน้ำอยู่ในบริเวณเส้นทางเดินเรือ
จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น ทางอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ และตำรวจน้ำได้วางทุ่นแนวกันเขตหรือ "ทุ่นไข่ปลา" เพื่อแสดงพื้นที่ที่อนุญาตให้เล่นน้ำ โดยเฉพาะที่เกาะปอดะ ทะเลแหวก และอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี พร้อมกับประกาศควบคุมความเร็วเรือไม่ให้เกิน 5 น็อต ขณะเดินเรือเข้าฝั่งในระยะ 200 เมตร เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ด้าน ผศ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้ความเห็นว่า มาตรการและกฎหมายที่มีอยู่มากมายมานานกว่า 30 ปี ไม่สามารถนำมาบังคับใช้หรือป้องกันอุบัติเหตุเหล่านี้ได้ เช่น การกำหนดให้ผู้ประกอบการนำเรือมาขึ้นทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบการตรวจสอบ การอบรมด้านความปลอดภัย และเพื่อให้ง่ายต่อการติดตามเมื่อเกิดเหตุ ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะเสียค่าขึ้นทะเบียนเพียงปีละ 1,000 กว่าบาท
"การนำเรือมาขึ้นทะเบียนเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง เพราะทางผู้ประกอบการจะได้รับทราบถึงวิธีการประกอบกิจการอย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งการขึ้นทะเบียนยังครอบคลุมถึงการทำประกันภัยต่างๆ และการติดตามเอาผิดหากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้บริการได้อีกด้วย" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ระบุ
ผศ.ธรณ์กล่าวว่าปัจจุบันนี้มีเรือมากกว่า 100 ลำ ที่ขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเรือทั้งหมด จึงอยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติเลือกใช้บริการเรือที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น โดยสังเกตได้ที่สติกเกอร์ที่ระบุว่าเป็นเรือที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพราะปัจจุบันนี้มีนักลงทุนชาวจีนซื้อเรือไทยไปทำธุรกิจกว่า 100 ลำ และติดชื่อเป็นภาษาจีน ยากต่อการจดจำหรือติดตามเมื่อกระทำผิด
นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดหาทุ่นแนวกันเขตหรือแนวไข่ปลามากั้นบริเวณแหล่งดำน้ำหรือเล่นน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุเรือชนนักท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนเรือในทะเลกระบี่มีมากกว่า 1,000 ลำ เป็นเรื่องยากที่จะจัดเป็นระเบียบได้ในระยะเวลาอันสั้น
ผศ.ธรณ์ยังเสนอให้ยกระดับระบบเวชศาสตร์ทางทะเลให้เป็นสากล โดยกรมการแพทย์ทหารเรือและกระทรวงสาธารณสุขควรเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือ เพื่อให้การกู้ภัยทางทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"อย่างที่ทราบกันดีว่า แม้จะมีแผนมีวิธีการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ยังติดขัดในข้อระเบียบราชการและงบประมาณ ดังนั้น นอกจากกรมอุทยานแล้ว อยากให้ภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและจังหวัดเข้ามาช่วยเหลือเกิดการผลโดยเร็ว เพราะหากเน้นแต่การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวทะเลไทย แต่ไม่มีความปลอดภัย ความหวังที่จะนำเม็ดเงินเข้าประเทศก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย" ผศ.ธรณ์กล่าว
จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนั้น ทางอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ และตำรวจน้ำได้วางทุ่นแนวกันเขตหรือ "ทุ่นไข่ปลา" เพื่อแสดงพื้นที่ที่อนุญาตให้เล่นน้ำ โดยเฉพาะที่เกาะปอดะ ทะเลแหวก และอ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี พร้อมกับประกาศควบคุมความเร็วเรือไม่ให้เกิน 5 น็อต ขณะเดินเรือเข้าฝั่งในระยะ 200 เมตร เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ด้าน ผศ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลให้ความเห็นว่า มาตรการและกฎหมายที่มีอยู่มากมายมานานกว่า 30 ปี ไม่สามารถนำมาบังคับใช้หรือป้องกันอุบัติเหตุเหล่านี้ได้ เช่น การกำหนดให้ผู้ประกอบการนำเรือมาขึ้นทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบการตรวจสอบ การอบรมด้านความปลอดภัย และเพื่อให้ง่ายต่อการติดตามเมื่อเกิดเหตุ ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะเสียค่าขึ้นทะเบียนเพียงปีละ 1,000 กว่าบาท
"การนำเรือมาขึ้นทะเบียนเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง เพราะทางผู้ประกอบการจะได้รับทราบถึงวิธีการประกอบกิจการอย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งการขึ้นทะเบียนยังครอบคลุมถึงการทำประกันภัยต่างๆ และการติดตามเอาผิดหากเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ใช้บริการได้อีกด้วย" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ระบุ
ผศ.ธรณ์กล่าวว่าปัจจุบันนี้มีเรือมากกว่า 100 ลำ ที่ขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนเรือทั้งหมด จึงอยากเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติเลือกใช้บริการเรือที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้น โดยสังเกตได้ที่สติกเกอร์ที่ระบุว่าเป็นเรือที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพราะปัจจุบันนี้มีนักลงทุนชาวจีนซื้อเรือไทยไปทำธุรกิจกว่า 100 ลำ และติดชื่อเป็นภาษาจีน ยากต่อการจดจำหรือติดตามเมื่อกระทำผิด
นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดหาทุ่นแนวกันเขตหรือแนวไข่ปลามากั้นบริเวณแหล่งดำน้ำหรือเล่นน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุเรือชนนักท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนเรือในทะเลกระบี่มีมากกว่า 1,000 ลำ เป็นเรื่องยากที่จะจัดเป็นระเบียบได้ในระยะเวลาอันสั้น
ผศ.ธรณ์ยังเสนอให้ยกระดับระบบเวชศาสตร์ทางทะเลให้เป็นสากล โดยกรมการแพทย์ทหารเรือและกระทรวงสาธารณสุขควรเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือ เพื่อให้การกู้ภัยทางทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"อย่างที่ทราบกันดีว่า แม้จะมีแผนมีวิธีการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ยังติดขัดในข้อระเบียบราชการและงบประมาณ ดังนั้น นอกจากกรมอุทยานแล้ว อยากให้ภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและจังหวัดเข้ามาช่วยเหลือเกิดการผลโดยเร็ว เพราะหากเน้นแต่การรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวทะเลไทย แต่ไม่มีความปลอดภัย ความหวังที่จะนำเม็ดเงินเข้าประเทศก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย" ผศ.ธรณ์กล่าว