นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่าในห้วงเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี พื้นที่จังหวัดลำปางและจังหวัดภาคเหนือตอนบนอีก 8 จังหวัด ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และจังหวัดตาก จะประสบกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันปกคลุมพื้นที่ โดยสถานการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องหลายปี เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเผาในที่โล่ง การเผาป่า การเผาวัชพืชและสิ่งเหลือใช้ทางการเกษตร และการเผาขยะ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าไม้ สภาวะแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก สำหรับสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันของจังหวัดลำปาง ในปี 2558 ที่ผ่านมา มีสถิติการเกิดไฟป่า จำนวน 800 ครั้ง มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM10) เกินค่ามาตรฐาน ติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 4 มีนาคม 2558 รวม 10 วัน โดยวันที่ค่า PM10 สูงสุด คือวันที่ 2 มีนาคม 2558 เท่ากับ 260 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ณ สถานีการประปาส่วนภูมิภาคแม่เมาะ
นายสมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2559 นี้ จังหวัดลำปางจึงได้กำหนด 5 มาตรการหลัก เป็นแนวทางดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า และหมอกควันในพื้นที่ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อระงับ ยับยั้ง การจุดไฟเผาป่า และการเผาในที่โล่งอื่นๆ รวมทั้งลดผลกระทบและความเสียหายจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน ให้เกิดน้อยที่สุด ประกอบด้วย การบริหารจัดการ เช่น จัดตั้งศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติงาน, การรณรงค์และประชาสัมพันธ์, การป้องกันและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า การส่งเสริม และสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และที่สำคัญคือมาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยจะจับกุมดำเนินคดีผู้ที่จุดไฟเผาป่าอย่างเข้มงวด ในอัตราโทษสูงสุด จำคุก 2 – 15 ปี ปรับ 20,000 – 150,000 บาท
นายสมชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2559 นี้ จังหวัดลำปางจึงได้กำหนด 5 มาตรการหลัก เป็นแนวทางดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า และหมอกควันในพื้นที่ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อระงับ ยับยั้ง การจุดไฟเผาป่า และการเผาในที่โล่งอื่นๆ รวมทั้งลดผลกระทบและความเสียหายจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประชาชน ให้เกิดน้อยที่สุด ประกอบด้วย การบริหารจัดการ เช่น จัดตั้งศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการปฏิบัติงาน, การรณรงค์และประชาสัมพันธ์, การป้องกันและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า การส่งเสริม และสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และที่สำคัญคือมาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยจะจับกุมดำเนินคดีผู้ที่จุดไฟเผาป่าอย่างเข้มงวด ในอัตราโทษสูงสุด จำคุก 2 – 15 ปี ปรับ 20,000 – 150,000 บาท
