รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้ตุลาการศาลปกครองพ้นจากตำแหน่ง โดยมีเนื้อหาระบุว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ตุลาการศาลปกครอง พ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากถูกลงโทษให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (8) และวรรคสอง และมาตรา 22 วรรคสอง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ประกอบข้อ 24 วรรคหนึ่ง (2) ของระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองว่าด้วยวิธีการสอบสวนและสิทธิของตุลาการศาลปกครอง ซึ่งถูกกล่าวหาว่า มีเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง พ.ศ.2544 ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2558
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุทำให้ นายหัสวุฒิ ถูกให้ออกจากราชการ เกิดจากกรณี “จดหมายน้อย” หรือบันทึกส่วนตัว จำนวน 2 ฉบับที่ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่า นายหัสวุฒิ มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจยศ พ.ต.ท.นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของ นายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ ก่อนที่ต่อมาคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ ก.ศป. จะคำสั่งให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว
ก่อนที่ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 กศป.จะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ นายหัสวุฒิ ออกจากราชการและพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครอง เนื่องจากแม้จะไม่ปรากฏชัดว่า นายหัสวุฒิ มอบหมายให้ นายดิเรกฤทธิ์ เป็นผู้ทำจดหมายทั้ง 2 ฉบับ แต่จากพยานหลักฐานก็รับฟังได้ว่า นายหัสวุฒิ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจและรับทราบในเรื่องดังกล่าว ขณะที่ นายหัสวุฒิ ได้ทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่อสำนักราชเลขาธิการในพระบรมมหาราชวัง เพื่อขอความเป็นธรรม
นอกจากกรณี “จดหมายน้อย” แล้ว นายหัสวุฒิ ยังอยู่ระหว่างการถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีกหลายกรณี อาทิ ความโปร่งใสในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตร ซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อให้ นายหัสวุฒิ ชี้แจงแล้ว กรณีถูกกล่าวหาว่า เบิกรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งานซ้ำซ้อน ทั้งที่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ซึ่งจากการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า นายหัสวุฒิ ได้นำรถยนต์ประจำตำแหน่งไปให้บุคคลอื่นใช้งาน ขณะที่ตนเองได้ให้เลขานุการส่วนตัวเบิกรถยนต์ส่วนกลางมาใช้งานในการเดินทางไปที่ต่างๆ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุทำให้ นายหัสวุฒิ ถูกให้ออกจากราชการ เกิดจากกรณี “จดหมายน้อย” หรือบันทึกส่วนตัว จำนวน 2 ฉบับที่ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการศาลปกครอง ส่งถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ รอง ผบ.ตร. โดยอ้างว่า นายหัสวุฒิ มีความประสงค์สนับสนุนนายตำรวจยศ พ.ต.ท.นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชายของ นายหัสวุฒิ ให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ ก่อนที่ต่อมาคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง หรือ ก.ศป. จะคำสั่งให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าว
ก่อนที่ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 กศป.จะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ นายหัสวุฒิ ออกจากราชการและพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครอง เนื่องจากแม้จะไม่ปรากฏชัดว่า นายหัสวุฒิ มอบหมายให้ นายดิเรกฤทธิ์ เป็นผู้ทำจดหมายทั้ง 2 ฉบับ แต่จากพยานหลักฐานก็รับฟังได้ว่า นายหัสวุฒิ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจและรับทราบในเรื่องดังกล่าว ขณะที่ นายหัสวุฒิ ได้ทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่อสำนักราชเลขาธิการในพระบรมมหาราชวัง เพื่อขอความเป็นธรรม
นอกจากกรณี “จดหมายน้อย” แล้ว นายหัสวุฒิ ยังอยู่ระหว่างการถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีกหลายกรณี อาทิ ความโปร่งใสในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตร ซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อให้ นายหัสวุฒิ ชี้แจงแล้ว กรณีถูกกล่าวหาว่า เบิกรถยนต์ส่วนกลางไปใช้งานซ้ำซ้อน ทั้งที่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งอยู่แล้ว ซึ่งจากการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า นายหัสวุฒิ ได้นำรถยนต์ประจำตำแหน่งไปให้บุคคลอื่นใช้งาน ขณะที่ตนเองได้ให้เลขานุการส่วนตัวเบิกรถยนต์ส่วนกลางมาใช้งานในการเดินทางไปที่ต่างๆ