วันนี้ (28 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย ,น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และน.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 – 5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1 – 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือ เสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควรโดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการ เสียหาย
หลังจากศาลไต่สวนมูลฟ้องพยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 – 4 ตามฟ้อง ป.ป.ช.โจทก์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ส่วน น.ส.ปราณี จำเลยที่ 5 ไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 – 4 ศาลจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ ศาลได้มีหมายเรียกให้จำเลยทั้ง 5 มารายงานตัว และดำเนินการไต่สวนพยานครั้งแรก วันที่ 23 ก.พ.2559 เวลา 09.00 น.
คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.58 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1 – 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากร หรือ เสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควรโดยชอบด้วยกฎหมาย จากการที่นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ซื้อหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการ เสียหาย
หลังจากศาลไต่สวนมูลฟ้องพยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 – 4 ตามฟ้อง ป.ป.ช.โจทก์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ส่วน น.ส.ปราณี จำเลยที่ 5 ไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 – 4 ศาลจึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา เพื่อมีคำพิพากษาต่อไป
ทั้งนี้ ศาลได้มีหมายเรียกให้จำเลยทั้ง 5 มารายงานตัว และดำเนินการไต่สวนพยานครั้งแรก วันที่ 23 ก.พ.2559 เวลา 09.00 น.