นายอินทรีย์ เกิดมณี นายอำเภอเมืองระยอง ได้รับแจ้งมีเหตุเพลิงไหม้โรงพยาบาลระยอง ตั้งอยู่เลขที่ 138 สุขุมวิทท่าประดู่ อ.เมืองระยอง จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมรถดับเพลิงจากเทศบาลนครระยอง จำนวน 3 คัน ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชั้น 3 ภายในห้องของศูนย์ไตเทียม โดยเจ้าหน้าที่สามารถสกัดเพลิงไว้ได้ แต่ยังคงมีกลุ่มควันหนาแน่น เจ้าหน้าที่ได้เร่งขนย้ายอุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ออกจากห้องที่เกิดเหตุ ส่วนผู้ป่วยหนักที่อยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. จำนวน 8 คน ได้ถูกย้ายไปทำการรักษาต่อที่ตึกฉัตรแก้ว
ด้านนายอินทรีย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ต้นเพลิงเกิดจากตู้ UPS ซึ่งอยู่ในห้องสำรองไฟภายในศูนย์ไตเทียม ชั้น 3 อาคารผู้ป่วยนอก เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันขนข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ และคนไข้หนักจากห้อง ไอ.ซี.ยู.ไปอยู่ในที่ปลอดภัยเรียบร้อย ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียดอีก
ขณะที่นายแพทย์ประสิทธ์ ทองสดายุ หัวหน้ากลุ่มงานศํลยกรรม โรงพยาบาลระยอง เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. มี 8 ราย ขณะเกิดเหตุแพทย์และพยาบาลได้ทำการย้ายไปรักษาต่อที่ตึกฉัตรแก้ว ส่วนห้องไตเทียม ยังไม่มีผู้เข้ารับการรักษา เนื่องจากเป็นช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ จึงขนย้ายอุปกรณ์ และยา ตลอดจนเครื่องมือแพทย์ ออกมาทั้งหมด ซึ่งเปลวไฟไม่ได้ลุกลาม มีเพียงกลุ่มควันหนาแน่น จึงไม่มีความเสียหาย ส่วนคนไข้ที่ต้องล้างไตในช่วงนี้ ทางโรงพยาบาลจะประสานกับโรงพยาบาลเครือข่ายในการช่วยเหลือเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม ต้นเพลิงที่ตรวจสอบเกิดจากตู้ UPS ขนาด 30 KVA ในห้องสำรองไฟของศูนย์ไตเทียม ซึ่งตู้ดังกล่าวมีอายุการใช้งานมานานกว่า 10 ปี แต่จะมีช่างประจำเข้ามาตรวจสอบปีละ 2-3 ครั้ง ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
ด้านนายอินทรีย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า ต้นเพลิงเกิดจากตู้ UPS ซึ่งอยู่ในห้องสำรองไฟภายในศูนย์ไตเทียม ชั้น 3 อาคารผู้ป่วยนอก เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันขนข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ และคนไข้หนักจากห้อง ไอ.ซี.ยู.ไปอยู่ในที่ปลอดภัยเรียบร้อย ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียดอีก
ขณะที่นายแพทย์ประสิทธ์ ทองสดายุ หัวหน้ากลุ่มงานศํลยกรรม โรงพยาบาลระยอง เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในห้อง ไอ.ซี.ยู. มี 8 ราย ขณะเกิดเหตุแพทย์และพยาบาลได้ทำการย้ายไปรักษาต่อที่ตึกฉัตรแก้ว ส่วนห้องไตเทียม ยังไม่มีผู้เข้ารับการรักษา เนื่องจากเป็นช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ จึงขนย้ายอุปกรณ์ และยา ตลอดจนเครื่องมือแพทย์ ออกมาทั้งหมด ซึ่งเปลวไฟไม่ได้ลุกลาม มีเพียงกลุ่มควันหนาแน่น จึงไม่มีความเสียหาย ส่วนคนไข้ที่ต้องล้างไตในช่วงนี้ ทางโรงพยาบาลจะประสานกับโรงพยาบาลเครือข่ายในการช่วยเหลือเบื้องต้น
อย่างไรก็ตาม ต้นเพลิงที่ตรวจสอบเกิดจากตู้ UPS ขนาด 30 KVA ในห้องสำรองไฟของศูนย์ไตเทียม ซึ่งตู้ดังกล่าวมีอายุการใช้งานมานานกว่า 10 ปี แต่จะมีช่างประจำเข้ามาตรวจสอบปีละ 2-3 ครั้ง ซึ่งจะต้องให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป