เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เปิดเผยกับ มติชนออนไลน์ว่า ได้ไปยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้วที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยให้สาเหตุของการตัดสินใจลาออกว่า ตัวเองทำคดีนี้มานานมีผู้ต้องหา ผู้กระทำผิดจำนวนมาก มีแรงกดดันจากคดีสูง และมีสิ่งไม่ชอบมาพากลเข้ามาในชีวิต ซึ่งการที่ทำหน้าที่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา มีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ คนพอใจคือประชาชน แต่คนไม่พอใจคือโจร และหาทางแก้แค้นในทุกรูปแบบ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“ตลอดชีวิตข้าราชการตำรวจไม่เคยทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ การที่ถูกย้ายลงไปเป็นรองผู้บัญชาการ ขณะเหลืออายุราชการ 3 ปี จึงคิดว่าไม่น่าจะทำประโยชน์อะไรได้ ก่อนหน้านี้ ตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์โรฮีนจา ศัตรูจึงมีอยู่รอบตัว ครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัย เกรงว่าอาจจะมีการล้างแค้น การลาออกจากราชการจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ คดีระดับโลก แม้กระทั่งศาล อัยการในพื้นที่ยังต้องย้ายเข้ามาทำคดีในกรุงเทพมหานครเข้ามาเพื่อลดความมีอิทธิพลในพื้นที่ พร้อมกล่าวว่า ตนเองจะไม่ขอเข้ามายุ่งกับคดีดังกล่าวอีกแล้วไม่ว่ากรณีใด ต้องยอมรับว่า กว่าจะได้เอกสารทางคดีมาแต่ละแผ่นเป็นเรื่องยากมากซึ่งคณะทำงาน ทุ่มเทอย่างเต็มที่ และลำบากมาก แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในบางประเด็น
ทั้งนี้ส่วนตัวยังเป็นข้าราชการจนกว่าจะครบ 30 วัน หลังจากยื่นหนังสือลาออก หรือพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผบ.ตร. จะใช้อำนาจในการยับยั้งการลาออกของตน ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า หากออกจากราชการแล้วจะไปทำอะไร เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจอพบเจออะไรแบบนี้ แต่ก็พยายามผลักดันคดีดังกล่าวให้จบ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม โดยยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยากย้ายร้าชการไปศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และเคยยื่นความจำนงต่อผู้บัญชาการไปแล้วว่าอยากอยู่ที่เดิม รวมถึงครอบครัวก็แสดงความเป็นห่วงมาตลอดและไม่ต้องการที่จะให้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.)
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รรท.รอง ผบช.ศชต.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ กับ พล.ต.ท.เฉลิมพันธุ์ อจลบุญ ผบช.ศชต. เมื่อเย็นวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนการจะให้ออกหรือไม่ เป็นดุลพินิจอยู่ในอำนาจของ ผบช.ศชต.
“ตลอดชีวิตข้าราชการตำรวจไม่เคยทำงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ การที่ถูกย้ายลงไปเป็นรองผู้บัญชาการ ขณะเหลืออายุราชการ 3 ปี จึงคิดว่าไม่น่าจะทำประโยชน์อะไรได้ ก่อนหน้านี้ ตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายค้ามนุษย์โรฮีนจา ศัตรูจึงมีอยู่รอบตัว ครอบครัวรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัย เกรงว่าอาจจะมีการล้างแค้น การลาออกจากราชการจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
นอกจากนี้ต้องยอมรับว่าคดีนี้เป็นคดีใหญ่ คดีระดับโลก แม้กระทั่งศาล อัยการในพื้นที่ยังต้องย้ายเข้ามาทำคดีในกรุงเทพมหานครเข้ามาเพื่อลดความมีอิทธิพลในพื้นที่ พร้อมกล่าวว่า ตนเองจะไม่ขอเข้ามายุ่งกับคดีดังกล่าวอีกแล้วไม่ว่ากรณีใด ต้องยอมรับว่า กว่าจะได้เอกสารทางคดีมาแต่ละแผ่นเป็นเรื่องยากมากซึ่งคณะทำงาน ทุ่มเทอย่างเต็มที่ และลำบากมาก แต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในบางประเด็น
ทั้งนี้ส่วนตัวยังเป็นข้าราชการจนกว่าจะครบ 30 วัน หลังจากยื่นหนังสือลาออก หรือพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผบ.ตร. จะใช้อำนาจในการยับยั้งการลาออกของตน ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า หากออกจากราชการแล้วจะไปทำอะไร เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจอพบเจออะไรแบบนี้ แต่ก็พยายามผลักดันคดีดังกล่าวให้จบ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม โดยยืนยันว่าตัวเองไม่ได้อยากย้ายร้าชการไปศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) และเคยยื่นความจำนงต่อผู้บัญชาการไปแล้วว่าอยากอยู่ที่เดิม รวมถึงครอบครัวก็แสดงความเป็นห่วงมาตลอดและไม่ต้องการที่จะให้ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.)
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.กล่าวว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รรท.รอง ผบช.ศชต.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ กับ พล.ต.ท.เฉลิมพันธุ์ อจลบุญ ผบช.ศชต. เมื่อเย็นวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนการจะให้ออกหรือไม่ เป็นดุลพินิจอยู่ในอำนาจของ ผบช.ศชต.