xs
xsm
sm
md
lg

ทองคำพุ่ง น้ำมันฟื้น หุ้นสหรัฐฯทะยาน แม้ตัวเลขจ้างงานซบ (ศุกร์2ต.ค.)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดดีดขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนวันศุกร์ (2 ต.ค.) หลังจากปรับตัวลดลงติดต่อกันมา 5 วันทำการ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนก.ย.ที่ออกมาน่าผิดหวังนั้นได้กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงโลหะมีค่าอย่าง ทอง

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ - COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 22.9 ดอลลาร์ หรือ 2.06% ปิดที่ระดับ 1,136.6 ดอลลาร์/ออนซ์ อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสัปดาห์ ราคาทองลดลง 0.8%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1%

ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.และส.ค. โดยปรับลดลง 59,000 ตำแหน่งจากที่มีการรายงานก่อนหน้านี้

ข้อมูลจ้างงานที่ย่ำแย่ทำให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐยังไม่น่าจะรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งตัวเลขที่อ่อนแอและกระแสคาดการณ์ดังกล่าวได้กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำ เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้โลหะมีค่าที่กำหนดราคาซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาน่าดึงดูดใจมากขึ้น

โดยปกติแล้ว ทองและดอลลาร์จะเคลื่อนตัวในทิศทางตรงข้ามกัน ซึ่งหมายความว่าหากดอลลาร์ปรับตัวลง สัญญาทองก็จะปรับตัวขึ้น เนื่องจากทอง ซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ จะมีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ

ขณะเดียวกัน ตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอได้ก่อให้เกิดความกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังฉุดรั้งการขยายตัวของสหรัฐ ซึ่งผลักดันให้นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำ

ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ (2 ต.ค.) หลังจากมีรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในสหรัฐลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ซึ่งบ่งชี้ว่าผลผลิตน้ำมันในสหรัฐกำลังหดตัว

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับตัวขึ้น 80 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 45.54 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับตลอดสัปดาห์ สัญญาปรับตัวลงราว 0.4%

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 48.13 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาร่วงลงไปประมาณ 1%

เบเกอร์ ฮิวจส์ บริษัทผู้ให้บริการข้อมูลด้านน้ำมัน รายงานในวันศุกร์ว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลงอีก 26 หลุม เหลือ 614 หลุม ณ สิ้นสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5 แล้ว และหากรวมแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ตัวเลขแท่นขุดเจาะลดลงทั้งสิ้น 29 หลุม มาอยู่ที่ 809 หลุม

ข้อมูลแท่นขุดเจาะเป็นปัจจัยหนุนตลาด เนื่องจากเทรดเดอร์เชื่อว่า บริษัทน้ำมันของสหรัฐยังคงเดินหน้าปรับลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง

โดยข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยหลังจากที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐลดลงจาก 40,000 บาร์เรล มาอยู่ที่ 9.096 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว

ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวสูงขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ (2 ต.ค.) จากที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงแรกของการซื้อขาย โดยนักลงทุนเชื่อว่า มีความเป็นไปได้น้อยลงที่ธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ หลังตัวเลขจ้างงานเดือนก.ย.ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นยังได้ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนส่งแรงซื้อเข้าหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุด้วย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 200.36 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 16,472.37 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 27.54 จุด หรื 1.43% ปิดที่ 1,951.36 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 80.70 จุด หรือ 1.17% ปิดที่ 4,707.78 จุด

ทั้งนี้ตลอดทั้งสัปดาห์ ดาวโจนส์ และ เอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 1.0% ขณะที่ แนสแด็ก ขยับขึ้น 0.5%

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงในช่วงเปิดตลาด โดยนักลงทุนพากันส่งแรงเทขายเข้าตลาด หลังผิดหวังต่อการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 142,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2008

ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.1%

อย่างไรก็ดี เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง และดันให้ทั้งสามดัชนีพลิกกลับมาเคลื่อนไหวและปิดในแดนบวกในที่สุด เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่คาดกันว่าจะเป็นปีนี้ออกไปเป็นปีหน้า

ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลแรงงาน เจ้าหน้าที่หลายรายของธนาคารกลางสหรัฐต่างออกมาแสดงความเห็นในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 9 ปีว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด

นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยประเมินว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายในสิ้นปีนี้

ประธานเฟดระบุว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเหมาะสมในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่เป้าหมายที่ 2% ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อปัจจัยชั่วคราวที่กดดันเงินเฟ้อได้จางหายไป พร้อมกล่าวว่าภาวะอ่อนแอของเศรษฐกิจทั่วโลกไม่มีแนวโน้มจะมีนัยสำคัญมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินของเฟด

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน และอาจสะกิดให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดต้องทบทวนท่าทีในการปรับขึ้นดอกเบี้ย

คริส โลว์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ เอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ตัวเลขจ้างงานที่ชะลอตัว การมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานที่ปรับตัวลดลง และค่าแรงที่หยุดนิ่ง ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ แม้ประธานเฟด ซานฟรานซิสโก ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์อัตราว่างงานเมื่อวันก่อนก็ตาม

นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เป็นเรื่องเหมาะสมที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ อันเนื่องมาจากคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการจ้างงานในระดับสูงสุดในอนาคตอันใกล้ และเงินเฟ้อจะค่อยๆปรับตัวสู่เป้าหมายที่ 2% ของเฟด

นายวิลเลียมส์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.25% ต่อปีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 5% ภายในปีนี้ โดยเขาคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัวสูงกว่า 2% เล็กน้อยในปีหน้า

ด้านนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เขาเชื่อว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้

"ผมคาดหวังว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้" เขากล่าว และเสริมว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ นอกจากตัวเลขจ้างงานแล้ว กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนส.ค. โดยร่วงลงมากที่สุดในรอบ 8 เดือน นำโดยการดิ่งลงของอุปสงค์เครื่องบินพาณิชย์

สรุปดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก (ศุกร์ 2 ต.ค.)

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 16,472.37 จุด เพิ่มขึ้น 200.36 จุด, +1.23%
ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,707.78 จุด เพิ่มขึ้น 80.70 จุด, +1.74%
ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,951.36 จุด เพิ่มขึ้น 27.54 จุด, +1.43%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,458.88 จุด เพิ่มขึ้น 32.34 จุด, +0.73%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,553.07 จุด เพิ่มขึ้น 43.82 จุด, +0.46%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,129.98 จุด เพิ่มขึ้น 57.51 จุด, +0.95%
ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 2,793.15 จุด ลดลง 8.70 จุด, -0.31%
ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,628.80 จุด ลดลง 5.13 จุด, -0.31%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,207.80 จุด ลดลง 47.08 จุด, -1.11%
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 21,506.09 จุด เพิ่มขึ้น 659.79 จุด, +3.17%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,850.61 จุด ลดลง 40.33 จุด, -0.59%
ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,052.00 จุด ลดลง 60.10 จุด, -1.18%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,089.20 จุด ลดลง 54.90 จุด, -1.07%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,969.68 จุด ลดลง 9.64 จุด, -0.49%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 17,725.13 จุด เพิ่มขึ้น 2.71 จุด, +0.02%
ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,305.03 จุด เพิ่มขึ้น 9.09 จุด, +0.11%
กำลังโหลดความคิดเห็น