พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ว่า ที่ประชุมได้กำชับทุกหน่วยงานมาปรับความเข้าใจในการทำงานตามโรดแมป ให้เป็นไปอย่างเคร่งครัด โดยขณะนี้มีเรือที่ผิดกฎหมายได้เข้ามาขอจดทะเบียนและออกเรือประมงไปแล้วหลายลำ ซึ่งจากการตรวจสอบล่าสุด พบเรือประมงเพียง 3,000 ลำ จากทั้งหมด 7,000 ลำที่ยังคงลอยลำไม่สามารถออกทะเลได้
พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ทางสหภาพยุโรป (อียู) ยังมีความเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งทางคณะกรรมการกฤษฎีกาและกรมประมง กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่า อียูจะพอใจผลการดำเนินงานของไทย และจะทำให้สถานการณ์การประมงไทยดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่มีการหารือเรื่องการเยียวยาเรือประมงผิดกฎหมาย ที่ไม่สามารถออกเรือได้ แต่ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ในฐานะผู้บัญชาศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ ศปมผ. จะหาแนวทางเพื่อบรรเทาปัญหาต่อไป
ขณะที่นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในการประชุมวันนี้ได้มีการกำชับการทำงานของฝ่ายปฏิบัติให้มีความกระชับและรัดกุม เพื่อให้ทันตามกำหนดการที่ตัวแทนของสหภาพยุโรปจะเดินทางมาตรวจสอบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมระบุว่า การรับฟังความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในวันนี้ พบว่ายังคงสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ตามโรดแมป โดยข้อท้วงติงจากอียูล่าสุด เป็นเรื่องของกฎหมายและนโยบาย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงได้ เชื่อมั่นว่าอียูจะพอใจผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของไทย และจะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ยังกล่าวว่า ในที่ประชุมได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการเฉพาะกิจเร่งด่วน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำหน้าที่ ในการกำกับดูแลการดำเนินการทุกอย่าง ให้ทันต่อเวลาและสถานการณ์ โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ
พร้อมกล่าวว่า ขณะนี้ทางสหภาพยุโรป (อียู) ยังมีความเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งทางคณะกรรมการกฤษฎีกาและกรมประมง กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่า อียูจะพอใจผลการดำเนินงานของไทย และจะทำให้สถานการณ์การประมงไทยดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่มีการหารือเรื่องการเยียวยาเรือประมงผิดกฎหมาย ที่ไม่สามารถออกเรือได้ แต่ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ในฐานะผู้บัญชาศูนย์บัญชาการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ ศปมผ. จะหาแนวทางเพื่อบรรเทาปัญหาต่อไป
ขณะที่นายอำนวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในการประชุมวันนี้ได้มีการกำชับการทำงานของฝ่ายปฏิบัติให้มีความกระชับและรัดกุม เพื่อให้ทันตามกำหนดการที่ตัวแทนของสหภาพยุโรปจะเดินทางมาตรวจสอบในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมระบุว่า การรับฟังความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในวันนี้ พบว่ายังคงสามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาได้ตามโรดแมป โดยข้อท้วงติงจากอียูล่าสุด เป็นเรื่องของกฎหมายและนโยบาย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างมั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงได้ เชื่อมั่นว่าอียูจะพอใจผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของไทย และจะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ยังกล่าวว่า ในที่ประชุมได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการเฉพาะกิจเร่งด่วน ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะทำหน้าที่ ในการกำกับดูแลการดำเนินการทุกอย่าง ให้ทันต่อเวลาและสถานการณ์ โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบ
