การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ตามข้อเสนอและคำขอแก้ไขของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นวันที่ 11 เข้าสู่การพิจารณาในหมวด 4 ว่าด้วยคณะรัฐมนตรี โดยในช่วงเช้าของการพิจารณา ที่ประชุมได้ผ่านการพิจารณาไปแล้ว 5 มาตรา ตั้งแต่มาตรา 171-175
สาระสำคัญที่พิจารณา คือ การเพิ่มบทบัญญัติในส่วนที่ว่าด้วยที่มาของนายกรัฐมนตรี โดยนำเนื้อหามาตรา 172 ว่าด้วยการเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกำหนดให้ผู้ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ แต่หากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อไม่เป็น ส.ส.ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ รวมเข้ากับมาตรา 173 ว่าด้วยการนำชื่อบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับคะแนนสูงสุดทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน แม้ผู้นั้นจะไม่ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ และได้ปรับถ้อยคำเพื่อให้เจตนารมณ์ของมาตราดังกล่าว ตีความได้ว่า บุคคลที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เป็น ส.ส.ต้องได้รับเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 เท่านั้น ขณะที่การนำชื่อบุคคลที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดทูลเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อพ้นระยะ 30 วัน แม้ผู้นั้นจะไม่ได้รับคะแนนเห็นชอบตามเกณฑ์กำหนด กำหนดให้เป็นกรณีเฉพาะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นเป็น ส.ส.เท่านั้น
ขณะที่มาตรา 174 ว่าด้วยข้อกำหนดให้นายกรัฐมนตรีนำชื่อรัฐมนตรีส่งให้ประธานวุฒิสภาตรวจสอบคุณสมบัติ ได้ตัดออกจากร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจ ส.ว.ในมาตรา 130 วรรคสอง ส่วนมาตรา 175 ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี ใน (6) ที่กำหนดให้ต้องแสดงสำเนาแบบรายการแสดงภาษีเงินได้ย้อนหลัง 3 ปีนั้น ได้ปรับถ้อยคำให้เหมาะสม แต่ได้คงเจตนารมณ์ในส่วนดังกล่าวไว้
สาระสำคัญที่พิจารณา คือ การเพิ่มบทบัญญัติในส่วนที่ว่าด้วยที่มาของนายกรัฐมนตรี โดยนำเนื้อหามาตรา 172 ว่าด้วยการเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกำหนดให้ผู้ได้รับความเห็นชอบต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ แต่หากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อไม่เป็น ส.ส.ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ รวมเข้ากับมาตรา 173 ว่าด้วยการนำชื่อบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับคะแนนสูงสุดทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง เมื่อพ้นกำหนด 30 วัน แม้ผู้นั้นจะไม่ได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ และได้ปรับถ้อยคำเพื่อให้เจตนารมณ์ของมาตราดังกล่าว ตีความได้ว่า บุคคลที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เป็น ส.ส.ต้องได้รับเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 เท่านั้น ขณะที่การนำชื่อบุคคลที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดทูลเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อพ้นระยะ 30 วัน แม้ผู้นั้นจะไม่ได้รับคะแนนเห็นชอบตามเกณฑ์กำหนด กำหนดให้เป็นกรณีเฉพาะผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นเป็น ส.ส.เท่านั้น
ขณะที่มาตรา 174 ว่าด้วยข้อกำหนดให้นายกรัฐมนตรีนำชื่อรัฐมนตรีส่งให้ประธานวุฒิสภาตรวจสอบคุณสมบัติ ได้ตัดออกจากร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจ ส.ว.ในมาตรา 130 วรรคสอง ส่วนมาตรา 175 ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี ใน (6) ที่กำหนดให้ต้องแสดงสำเนาแบบรายการแสดงภาษีเงินได้ย้อนหลัง 3 ปีนั้น ได้ปรับถ้อยคำให้เหมาะสม แต่ได้คงเจตนารมณ์ในส่วนดังกล่าวไว้