รายงานข่าวแจ้งว่า นางละเอียด รักลี อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/2 หมู่ 1 ต.ดอนกำ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ได้ปั่นจักรยานคู่ชีพ เดินทางออกจากบ้านเมื่อเวลา 04.00 น. ที่ผ่านมา และเข้าผ่านสู่จังหวัดอ่างทองในช่วงเที่ยง โดยตั้งใจขี่จักรยานคู่ชีพเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอความเป็นธรรม หลังประสบปัญหามรสุมชีวิตอย่างหนัก อาศัยอยู่ภายในบ้านที่ไร้ไฟฟ้า กับลูกสาวที่พิการ และหลานวัย 1 เดือน รวม 3 ชีวิต แถมพายุพัดบ้านพัง และมีปัญหากับเพื่อนบ้านเรื่องไม่ให้เดินสายไฟฟ้าผ่านที่ดิน หมดหวังไร้ที่พึ่งจึงปั่นจักรยานเข้ากรุงมุ่งสู่ทำเนียบรัฐบาล หวังได้รับการเยียวยาช่วยเหลือ
นางละเอียด เปิดเผยว่า ชีวิตตนเองสุดรันทดและยากจน มีอาชีพรับจ้างไปวันๆ และต้องประสบปัญหาหนักอก หลังลูกสาวอายุ 30 ปี คลอดลูกได้ 1 เดือน กลับต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก หลังกลับจากหาหมอที่โรงพยาบาล ส่วนสามีของลูกสาวนั้นกลับทิ้งไปไม่ไยดี ตนเองจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกสาวและหลาน แถมในบ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้อีก มีสายไฟฟ้าผ่านแต่เพื่อนบ้านไม่ยอมให้ต่อสายไฟฟ้าเข้าบ้านตนเองเนื่องจากต้องผ่านที่ดินเพื่อนบ้าน จึงไร้ไฟฟ้าอย่างน่าช้ำใจ แถมบ้านยังโดนพายุฤดูแล้งกระหน่ำเสียหาย ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เหลือแต่ไม้และสังกะสีมาซ่อมแซม เมื่อไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านกลับโดนต่อว่า สุดทนจำปั่นจักรยานเรียกร้องขอความเป็นธรรม
โดยนางละเอียด มีเงินติดตัวมาเพียงเล็กน้อย พร้อมมีดอีโต้คู่ใจ 1 เล่ม เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่และผ้าห่มมัดที่ท้ายรถจักรยานพร้อมที่สูบลม ตั้งใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แบบค่ำไหนนอนนั่น โดยระหว่างทางที่ผ่านมานั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยบริการให้ความสะดวกร่วมกับเจ้าหน้าที่วีอาร์กู้ภัย ดูแลตลอดเส้นทาง เพื่อให้นางละเอียดได้เดินทางผ่านจังหวัดอ่างทอง มุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตัวเองและครอบครัวต่อไป
นางละเอียด เปิดเผยว่า ชีวิตตนเองสุดรันทดและยากจน มีอาชีพรับจ้างไปวันๆ และต้องประสบปัญหาหนักอก หลังลูกสาวอายุ 30 ปี คลอดลูกได้ 1 เดือน กลับต้องเป็นอัมพาตครึ่งซีก หลังกลับจากหาหมอที่โรงพยาบาล ส่วนสามีของลูกสาวนั้นกลับทิ้งไปไม่ไยดี ตนเองจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกสาวและหลาน แถมในบ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้อีก มีสายไฟฟ้าผ่านแต่เพื่อนบ้านไม่ยอมให้ต่อสายไฟฟ้าเข้าบ้านตนเองเนื่องจากต้องผ่านที่ดินเพื่อนบ้าน จึงไร้ไฟฟ้าอย่างน่าช้ำใจ แถมบ้านยังโดนพายุฤดูแล้งกระหน่ำเสียหาย ไม่ได้รับการช่วยเหลือ เหลือแต่ไม้และสังกะสีมาซ่อมแซม เมื่อไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านกลับโดนต่อว่า สุดทนจำปั่นจักรยานเรียกร้องขอความเป็นธรรม
โดยนางละเอียด มีเงินติดตัวมาเพียงเล็กน้อย พร้อมมีดอีโต้คู่ใจ 1 เล่ม เสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่และผ้าห่มมัดที่ท้ายรถจักรยานพร้อมที่สูบลม ตั้งใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แบบค่ำไหนนอนนั่น โดยระหว่างทางที่ผ่านมานั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยบริการให้ความสะดวกร่วมกับเจ้าหน้าที่วีอาร์กู้ภัย ดูแลตลอดเส้นทาง เพื่อให้นางละเอียดได้เดินทางผ่านจังหวัดอ่างทอง มุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่ตัวเองและครอบครัวต่อไป