รายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 มิ.ย.58 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นางพิมพ์ชนา ภูวพงษ์พิทักษ์ ภรรยา ของ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือจ่าเพียร "วีรบุรุษแห่งเทือกเขาบูโด" อดีตผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ถูกกลุ่มก่อความไม่สงบลอบวางระเบิด ในพื้นที่บ้านทับช้าง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 12 มี.ค.53
โดยนางพิมพ์ชนา กล่าวว่า ที่ตนเดินทางมาในวันนี้ เพื่อจะสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของกองทุนจ่าเพียร เพื่อตำรวจกล้า 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงจำนวนเงินที่มีประชาชนบริจาคเข้ามา เนื่องจากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ภายหลัง พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพของ พ.ต.อ.สมเพียร ในคืนที่ 2 (ขณะนั้น) ที่วัดคลองเปล จ.สงขลา และได้ขออนุญาตจัดตั้งกองทุนดังกล่าว แต่ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าจัดตั้งขึ้นเพื่ออะไร
จนต่อมา ได้พบกับ พล.ต.อ.พงศพัศ อีกครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.พงศพัศ ก็ได้ขออนุญาตให้ตนเป็นกรรมการในการเบิกถอนเงิน และหลังจากวันนั้นตนก็ไม่ได้พบ พล.ต.อ.พงศพัศ และไม่ได้รับการติดต่อรวมถึงไม่ทราบรายละเอียดของกองทุนดังกล่าว จึงต้องการที่จะพบกับ พล.ต.อ.พงศพัศ เพื่อชี้แจงถึงรายละเอียด ของกองทุนที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่จัดตั้งกองทุนมา แต่อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณประชาชนทั่วประเทศที่สนับสนุนและช่วยบริจาคเงินเข้ามาให้กับกองทุนจ่าเพียร
ต่อมาพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธาน กองทุน จ่าเพียร เพื่อตำรวจกล้า 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำสำเนาบัญชีรับบริจาคเงินของกองทุนดังกล่าวมายืนยันกับนางพิมพ์ชนา ต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อให้เห็นว่า ปัจจุบันเงินในบัญชีมีเงินกว่า 10 ล้านห้าแสนบาท และล่าสุด ยังมีผู้บริจาคเข้าสมทบทุนอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า เงินจำนวนดังกล่าวจากการตรวจสอบ พบว่า ยังไม่มีการเบิกจายหรือนำเงินออกบัญชีแต่อย่างใด ซึ่งเงินในกองทุนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ ครอบครัวและข้าราชการตำรวจ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และจากนี้ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการดูกองทุนดังกล่าวให้เร็วที่สุด โดยประกอบไปด้วย นางพิมพ์ชนา ภรรยา ข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่ช่อง 3 เพื่อร่วมบริหารจัดการเงินในกองทุน ให้บรรลุวัตถุประสงค์การก่อตั้งกองทุน และนางพิมพ์ชนา สามารถตรวจสอบเงินในบัญชีดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ สาขา ตึกมาลีนนท์ ได้
ด้าน นางพิมพ์ชนา กล่าวว่า ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้รับการดูแลจากกองทุนดังกล่าว แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำการชี้แจงรายละเอียด ตนก็รู้สึกพอใจรวมถึงกองทุนนี้จะสามารถช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปได้
โดยนางพิมพ์ชนา กล่าวว่า ที่ตนเดินทางมาในวันนี้ เพื่อจะสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของกองทุนจ่าเพียร เพื่อตำรวจกล้า 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงจำนวนเงินที่มีประชาชนบริจาคเข้ามา เนื่องจากตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ภายหลัง พลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพของ พ.ต.อ.สมเพียร ในคืนที่ 2 (ขณะนั้น) ที่วัดคลองเปล จ.สงขลา และได้ขออนุญาตจัดตั้งกองทุนดังกล่าว แต่ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าจัดตั้งขึ้นเพื่ออะไร
จนต่อมา ได้พบกับ พล.ต.อ.พงศพัศ อีกครั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.พงศพัศ ก็ได้ขออนุญาตให้ตนเป็นกรรมการในการเบิกถอนเงิน และหลังจากวันนั้นตนก็ไม่ได้พบ พล.ต.อ.พงศพัศ และไม่ได้รับการติดต่อรวมถึงไม่ทราบรายละเอียดของกองทุนดังกล่าว จึงต้องการที่จะพบกับ พล.ต.อ.พงศพัศ เพื่อชี้แจงถึงรายละเอียด ของกองทุนที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่จัดตั้งกองทุนมา แต่อย่างไรก็ตาม ตนขอขอบคุณประชาชนทั่วประเทศที่สนับสนุนและช่วยบริจาคเงินเข้ามาให้กับกองทุนจ่าเพียร
ต่อมาพล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธาน กองทุน จ่าเพียร เพื่อตำรวจกล้า 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำสำเนาบัญชีรับบริจาคเงินของกองทุนดังกล่าวมายืนยันกับนางพิมพ์ชนา ต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อให้เห็นว่า ปัจจุบันเงินในบัญชีมีเงินกว่า 10 ล้านห้าแสนบาท และล่าสุด ยังมีผู้บริจาคเข้าสมทบทุนอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวว่า เงินจำนวนดังกล่าวจากการตรวจสอบ พบว่า ยังไม่มีการเบิกจายหรือนำเงินออกบัญชีแต่อย่างใด ซึ่งเงินในกองทุนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ ครอบครัวและข้าราชการตำรวจ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และจากนี้ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการดูกองทุนดังกล่าวให้เร็วที่สุด โดยประกอบไปด้วย นางพิมพ์ชนา ภรรยา ข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่ช่อง 3 เพื่อร่วมบริหารจัดการเงินในกองทุน ให้บรรลุวัตถุประสงค์การก่อตั้งกองทุน และนางพิมพ์ชนา สามารถตรวจสอบเงินในบัญชีดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ สาขา ตึกมาลีนนท์ ได้
ด้าน นางพิมพ์ชนา กล่าวว่า ที่ผ่านมาครอบครัวไม่ได้รับการดูแลจากกองทุนดังกล่าว แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำการชี้แจงรายละเอียด ตนก็รู้สึกพอใจรวมถึงกองทุนนี้จะสามารถช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปได้
