“ปูติน” ลั่นรัสเซียต้องป้องกันตัวเองหากถูกคุกคาม ด้าน “วอชิงตัน” คำรามเตือนมอสโกกำลังรื้อฟื้น “สถานะสงครามเย็น” หลังเครมลินประกาศแผนเพิ่มขีปนาวุธข้ามทวีปในคลังแสงนิวเคลียร์ ตอบโต้ความเคลื่อนไหวของเมืองลุงแซมในการติดตั้งอาวุธหนักและนำทหารเข้าประจำการในยุโรปตะวันออกและแถบบอลติก
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวที่บ้านพักประธานาธิบดีรัสเซียนอกกรุงมอสโกเมื่อวันอังคาร (16 มิ.ย.) ระหว่างแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีซาอุลี นีนิสโต ของฟินแลนด์ซึ่งมาเยือนว่า รัสเซียถูกบังคับให้ต้องหันกองทัพของตนเข้าประจันกับประเทศใดๆ ก็ตามที่ทำท่าคุกคามแดนหมีขาวอยู่
เขาบอกด้วยว่า ข้อกังวลใจที่สุดของรัสเซียคือโครงการที่ดำเนินมานานแล้วขององค์การสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธขึ้นในยุโรป “นาโตต่างหากที่กำลังเคลื่อนเข้าประชิดพรมแดนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็จะไม่หนีไปไหนทั้งสิ้น” เขากล่าว
ปูตินเสริมว่า รัสเซียจำเป็นต้องตอบโต้อย่างเหมาะสมและดำเนินนโยบายการป้องกันประเทศเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าว
หลังจากการประกาศวันอังคารของปูติน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาวิจารณ์ทันทีว่า เป็นการรื้อฟื้นสถานะสงครามเย็น ภายหลังที่อเมริกาและรัสเซียได้ร่วมมือกันตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์
เมื่อปี 1991 อเมริกา กับ สหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้ลงนามสนธิสัญญา START เพื่อลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ซึ่งสะสมเอาไว้ในคลังแสงของแต่ละฝ่าย และในเดือนเมษายนปีนี้ เคร์รีประกาศว่า อเมริกาพร้อมจัดการเจรจากับรัสเซียรอบใหม่เพื่อลดจำนวนนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ให้ลงต่ำกว่าระดับที่ตกลงกันตามสนธิสัญญา START ฉบับใหม่ในปี 2011
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวที่บ้านพักประธานาธิบดีรัสเซียนอกกรุงมอสโกเมื่อวันอังคาร (16 มิ.ย.) ระหว่างแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีซาอุลี นีนิสโต ของฟินแลนด์ซึ่งมาเยือนว่า รัสเซียถูกบังคับให้ต้องหันกองทัพของตนเข้าประจันกับประเทศใดๆ ก็ตามที่ทำท่าคุกคามแดนหมีขาวอยู่
เขาบอกด้วยว่า ข้อกังวลใจที่สุดของรัสเซียคือโครงการที่ดำเนินมานานแล้วขององค์การสนธิสัญญาปกป้องแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธขึ้นในยุโรป “นาโตต่างหากที่กำลังเคลื่อนเข้าประชิดพรมแดนของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็จะไม่หนีไปไหนทั้งสิ้น” เขากล่าว
ปูตินเสริมว่า รัสเซียจำเป็นต้องตอบโต้อย่างเหมาะสมและดำเนินนโยบายการป้องกันประเทศเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าว
หลังจากการประกาศวันอังคารของปูติน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาวิจารณ์ทันทีว่า เป็นการรื้อฟื้นสถานะสงครามเย็น ภายหลังที่อเมริกาและรัสเซียได้ร่วมมือกันตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ในการทำลายอาวุธนิวเคลียร์
เมื่อปี 1991 อเมริกา กับ สหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้ลงนามสนธิสัญญา START เพื่อลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ซึ่งสะสมเอาไว้ในคลังแสงของแต่ละฝ่าย และในเดือนเมษายนปีนี้ เคร์รีประกาศว่า อเมริกาพร้อมจัดการเจรจากับรัสเซียรอบใหม่เพื่อลดจำนวนนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ให้ลงต่ำกว่าระดับที่ตกลงกันตามสนธิสัญญา START ฉบับใหม่ในปี 2011