รายงานข่าวแจ้งว่า นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งย้ายข้าราชการระดับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ โดยให้นายศรายุทธ ตันเถียร หัวหน้าอุทยานฯ เขาพนมเบญจา จ.กระบี่ เป็นหัวหน้าอุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ แทนนายไชยธัช บุญภูพันธ์ตันติ นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติทางบก สำนักอุทยานฯ ที่ย้ายไปเป็นผู้อำนวยการ ส่วนจัดการทรัพยากรต้นน้ำสำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานฯ และนายปภาวิน หยังหลัง เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญงาน ส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สบอ.5 เป็นหัวหน้าอุทยานฯเขาพนมเบญจา จ.กระบี่
ทั้งนี้การย้ายนายไชยธัช ออกจากตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี สาเหตุหนึ่งเนื่องจากความเคลื่อนไหวของของสภาปฏิรูปประเทศ(สปช.) ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปอุทยานฯ ทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการและจัดเก็บรายได้ส่งเข้ากรมอุทยานฯ ซึ่งกรมอุทยานฯ ได้ส่งคณะทำงานลงไปตรวจสอบเงินรายได้ของอุทยานฯหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พบว่าตัวเลขการนำส่งรายได้มีปัญหามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนคือก่อนคณะทำงานฯ ตรวจสอบเมื่อวันที่ 17 พ.ค. อุทยานฯ นำส่งรายได้เป็นเงินเพียงแค่ 80,360 บาท แต่เมื่อคณะทำงานฯ เริ่มตรวจสอบในวันที่ 18 พ.ค.2558 อุทยานฯหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีนำส่งรายได้เป็นเงินสูงถึง 522,980 บาท ซึ่งถือแตกต่างกันอย่างมาก โดยระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.-1 มิ.ย.2558 รวม 15วัน อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีส่งเงินรายได้ทั้งหมดเป็นเงิน 8,069,190 บาท เฉลี่ยถึงวันละ 500,000 บาท
ขณะที่ผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งใน สปช. พบว่าหากเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่เข้าไปให้อุทยานฯดังกล่าว ตามอัตราปัจจุบันได้ครบถ้วน ซึ่งตัวเลขที่น่าจะเป็นไม่ต่ำกว่าปีละ 3 ล้านคน จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่าปีละ 900 บาทต่อปี ขณะที่ทางอุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่เก็บเงินค่าตั๋วเข้าชมได้เพียงปีละ 1.4 แสนคน โดยเก็บรายได้ประมาณปีละ 24 ล้านบาท ทั้งนี้เงินรายได้จากอุทยานฯทั่วประเทศของกรมอุทยานฯ จะอยู่ที่ปีละ 500-600 กว่าล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้การย้ายนายไชยธัช ออกจากตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี สาเหตุหนึ่งเนื่องจากความเคลื่อนไหวของของสภาปฏิรูปประเทศ(สปช.) ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปอุทยานฯ ทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการและจัดเก็บรายได้ส่งเข้ากรมอุทยานฯ ซึ่งกรมอุทยานฯ ได้ส่งคณะทำงานลงไปตรวจสอบเงินรายได้ของอุทยานฯหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี พบว่าตัวเลขการนำส่งรายได้มีปัญหามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนคือก่อนคณะทำงานฯ ตรวจสอบเมื่อวันที่ 17 พ.ค. อุทยานฯ นำส่งรายได้เป็นเงินเพียงแค่ 80,360 บาท แต่เมื่อคณะทำงานฯ เริ่มตรวจสอบในวันที่ 18 พ.ค.2558 อุทยานฯหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีนำส่งรายได้เป็นเงินสูงถึง 522,980 บาท ซึ่งถือแตกต่างกันอย่างมาก โดยระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค.-1 มิ.ย.2558 รวม 15วัน อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพีส่งเงินรายได้ทั้งหมดเป็นเงิน 8,069,190 บาท เฉลี่ยถึงวันละ 500,000 บาท
ขณะที่ผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งใน สปช. พบว่าหากเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่เข้าไปให้อุทยานฯดังกล่าว ตามอัตราปัจจุบันได้ครบถ้วน ซึ่งตัวเลขที่น่าจะเป็นไม่ต่ำกว่าปีละ 3 ล้านคน จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่าปีละ 900 บาทต่อปี ขณะที่ทางอุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่เก็บเงินค่าตั๋วเข้าชมได้เพียงปีละ 1.4 แสนคน โดยเก็บรายได้ประมาณปีละ 24 ล้านบาท ทั้งนี้เงินรายได้จากอุทยานฯทั่วประเทศของกรมอุทยานฯ จะอยู่ที่ปีละ 500-600 กว่าล้านบาทเท่านั้น
