นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาโรฮีนจาว่า ประเทศไทย ประชาคมอาเซียน ประชาคมโลก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ล้วนมีประสบการณ์มากเกี่ยวกับแก้ปัญหาการผู้ลี้ภัย และอพยพทางเรือ มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ชาวเวียดนาม เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผู้ลี้ภัยชาวเขมรเมื่อครั้งสงครามกลางเมือง ชาวพม่าตามแนวชายแดน ดังนั้นมั่นใจว่ารัฐบาลไทย ประชาคมอาเซียน ตลอดจนประชาคมโลก จะสามารถนำแผนดังกล่าวมาปัดฝุ่นปรับปรุงแก้ปัญหาใหม่ได้ โดยต้องร่วมมือกับประชาคมโลก และประเทศต้นทางคือ พม่า และบังกลาเทศ ตลอดจนแนะนำให้ให้รัฐบาลเปิดสถานที่พักพิงชั่วคราว แต่ต้องไม่ใช่ที่คุมขัง เพราะเขาไม่ใช่นักโทษ โดยต้องเปิดให้จุฬาราชมนตรีเข้ามาให้คำปรึกษา ในเรื่องการดูแลความเป็นอยู่ เพราะชาวโรฮีนจาเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม และมีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เข้ามาร่วมดูแลด้วย
พร้อมกันนี้ นายกษิต ยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศควรร่วมกันตั้งกองทุนกลางดูแลชาวโรฮีนจานำเงินไปพัฒนารัฐยะไข่ แก้ปัญหาเรื่องความเป็นอยู่และเรื่องศาสนา และนำเงินไปพัฒนาตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ในประเทศไทย ส่วนประชาคมอาเซียนต้องหาทางช่วยรณรงค์เรียกร้องให้พม่าบรรจุชนชาติ ชาวโรฮีนจาเป็นเชื้อชาติ ที่ 136 เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นพลเมืองมีสิทธิเท่าเทียมชนชาติอื่น รวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ก็ควรเรียกประชุมด่วน ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกที่อยากช่วยเหลือ รับผู้อพยพเหล่านี้ไปเป็นแรงงานต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกษิต ยังกล่าวอีกว่า หลายประเทศควรร่วมกันตั้งกองทุนกลางดูแลชาวโรฮีนจานำเงินไปพัฒนารัฐยะไข่ แก้ปัญหาเรื่องความเป็นอยู่และเรื่องศาสนา และนำเงินไปพัฒนาตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ในประเทศไทย ส่วนประชาคมอาเซียนต้องหาทางช่วยรณรงค์เรียกร้องให้พม่าบรรจุชนชาติ ชาวโรฮีนจาเป็นเชื้อชาติ ที่ 136 เพื่อให้ได้รับการยอมรับเป็นพลเมืองมีสิทธิเท่าเทียมชนชาติอื่น รวมถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ก็ควรเรียกประชุมด่วน ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกที่อยากช่วยเหลือ รับผู้อพยพเหล่านี้ไปเป็นแรงงานต่อไป
