นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังประชุมติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการสาทรโมเดล เพื่อนำร่องแก้ปัญหาจราจรในถนนสาทรว่า กระทรวงคมนาคมได้นำร่องโครงการนี้ตั้งแต่เดือนพ.ย.57 ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เพื่อจัดหาจุดจอดรถสำหรับผู้ปกครอง และจัดรถรับส่งนักเรียนจากจุดจอดไปยังโรงเรียน หวังลดปริมาณรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปยังถนนสาทร แต่ผลดำเนินโครงการพบว่า ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะไม่สามารถปรับทัศนคติผู้ปกครองให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวมาส่งบุตรหลานได้ รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องจุดจอดรถ ที่เรียกเก็บค่าจอดแพง สร้างภาระให้ผู้ปกครองด้วย
“ตั้งแต่เริ่มโครงการปลายปีก่อนจนถึงขณะนี้ เกือบ 7 เดือน แต่ยังไม่มีใครเข้ามาใช้บริการจุดจอดรถที่เตรียมไว้ให้เลย ส่วนบริการรถรับและส่ง จากจุดจอดรถไปปลายทางมีผู้ใช้บริการเพียง 22 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก และต้องหาทางแก้ปัญหาต่อไป ว่าจะทำอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะยังไม่ล้มโครงการนี้ และจะทำต่อไปให้สิ้นสุดโครงการถึงสิ้นปี 59 จากนั้นจึงประเมินผลและทบทวนกันอีกครั้งว่าจะทำต่อหรือไม่”
นายศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ อาจารย์ประจำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับผิดชอบมาตรการจุดจอดรถกล่าวว่า โครงการนี้ ยังไม่เห็นผล เนื่องจากเพิ่งทำระยะสั้นเกินไป แต่ยอมรับว่า การลดพฤติกรรมการใช้รถยนต์ส่วนตัวทำได้ยาก แต่เป้าหมายระยะต่อไป ถึงเดือนส.ค.58 จะต้องมีผู้เข้าร่วมโครงการ 300 คน และเมื่อสิ้นสุดสาทรโมเดลในปีหน้า ตั้งเป้าหมายเข้าร่วมโครงการเป็น 2,000 คัน พร้อมกันนี้ เห็นว่ากระทรวงคมนาคมควรเดินหน้าโครงการต่อ เพราะเป็นโครงการที่แก้ปัญหารถติดได้เหมาะสม ส่วนปัญหาการเก็บค่าจอดรถแพงนั้น ขณะนี้ได้เร่งเจรจากับเจ้าของสถานที่จอดรถเดิม ทั้งในห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม ให้ปรับลดค่าเช่าจอดรายเดือนลงจากเดือนละ 2,000 บาท เหลือ 1,500 บาท รวมทั้งอาจเพิ่มสิทธิพิเศษให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การแจกบัตรกำนัลห้างสรรพสินค้า และบัตรรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อจูงใจให้ประชาชนนำรถมาจอดมากขึ้น นอกจากนี้ต้องเร่งจัดหาจุดจอดรถเพิ่มเติม โดยเฉพาะบริเวณฝั่งธนบุรีเพื่อไม่ให้รถเข้ามาใช้ถนนสาทรเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีรถจากฝั่งธนฯ มาฝั่งสาทรถึงวันละ 67,897 คัน หรือคิดเป็น 65% ของรถบนถนนสาทรทั้งหมด
ทั้งนี้จากการสำรวจพื้นที่แถบฝั่งธนและราชพฤกษ์ เบื้องต้นมีที่ว่างที่จอดรถได้ 6,000 คัน ในจำนวนนี้เป็นที่ดินของกรมทางหลวงชนบท ตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ระหว่างถนนสาทรถึงสถานีรถไฟฟ้าบางหว้าที่จอดรถได้ 800 คัน แต่ขณะนี้ยังติดปัญหาเรื่องการเข้าไปใช้พื้นที่ เพราะกรมทางหลวงชนบท เกรงว่าหากนำพื้นที่ไปให้ประชาชนจอดรถ อาจผิดวัตถุประสงค์ตามพ.ร.บ.เวนคืนที่ดินซึ่งจะต้องเจรจาหาทางออกกันต่อไป ส่วนพื้นที่จอดรถส่วนที่เหลือ 5,200 คัน จะกระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม และวัดบริเวณฝั่งธนนั้นอยู่ระหว่างการเจรจาขอใช้พื้นที่
“ตั้งแต่เริ่มโครงการปลายปีก่อนจนถึงขณะนี้ เกือบ 7 เดือน แต่ยังไม่มีใครเข้ามาใช้บริการจุดจอดรถที่เตรียมไว้ให้เลย ส่วนบริการรถรับและส่ง จากจุดจอดรถไปปลายทางมีผู้ใช้บริการเพียง 22 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก และต้องหาทางแก้ปัญหาต่อไป ว่าจะทำอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะยังไม่ล้มโครงการนี้ และจะทำต่อไปให้สิ้นสุดโครงการถึงสิ้นปี 59 จากนั้นจึงประเมินผลและทบทวนกันอีกครั้งว่าจะทำต่อหรือไม่”
นายศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ อาจารย์ประจำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับผิดชอบมาตรการจุดจอดรถกล่าวว่า โครงการนี้ ยังไม่เห็นผล เนื่องจากเพิ่งทำระยะสั้นเกินไป แต่ยอมรับว่า การลดพฤติกรรมการใช้รถยนต์ส่วนตัวทำได้ยาก แต่เป้าหมายระยะต่อไป ถึงเดือนส.ค.58 จะต้องมีผู้เข้าร่วมโครงการ 300 คน และเมื่อสิ้นสุดสาทรโมเดลในปีหน้า ตั้งเป้าหมายเข้าร่วมโครงการเป็น 2,000 คัน พร้อมกันนี้ เห็นว่ากระทรวงคมนาคมควรเดินหน้าโครงการต่อ เพราะเป็นโครงการที่แก้ปัญหารถติดได้เหมาะสม ส่วนปัญหาการเก็บค่าจอดรถแพงนั้น ขณะนี้ได้เร่งเจรจากับเจ้าของสถานที่จอดรถเดิม ทั้งในห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม ให้ปรับลดค่าเช่าจอดรายเดือนลงจากเดือนละ 2,000 บาท เหลือ 1,500 บาท รวมทั้งอาจเพิ่มสิทธิพิเศษให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การแจกบัตรกำนัลห้างสรรพสินค้า และบัตรรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อจูงใจให้ประชาชนนำรถมาจอดมากขึ้น นอกจากนี้ต้องเร่งจัดหาจุดจอดรถเพิ่มเติม โดยเฉพาะบริเวณฝั่งธนบุรีเพื่อไม่ให้รถเข้ามาใช้ถนนสาทรเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีรถจากฝั่งธนฯ มาฝั่งสาทรถึงวันละ 67,897 คัน หรือคิดเป็น 65% ของรถบนถนนสาทรทั้งหมด
ทั้งนี้จากการสำรวจพื้นที่แถบฝั่งธนและราชพฤกษ์ เบื้องต้นมีที่ว่างที่จอดรถได้ 6,000 คัน ในจำนวนนี้เป็นที่ดินของกรมทางหลวงชนบท ตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ระหว่างถนนสาทรถึงสถานีรถไฟฟ้าบางหว้าที่จอดรถได้ 800 คัน แต่ขณะนี้ยังติดปัญหาเรื่องการเข้าไปใช้พื้นที่ เพราะกรมทางหลวงชนบท เกรงว่าหากนำพื้นที่ไปให้ประชาชนจอดรถ อาจผิดวัตถุประสงค์ตามพ.ร.บ.เวนคืนที่ดินซึ่งจะต้องเจรจาหาทางออกกันต่อไป ส่วนพื้นที่จอดรถส่วนที่เหลือ 5,200 คัน จะกระจายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียม และวัดบริเวณฝั่งธนนั้นอยู่ระหว่างการเจรจาขอใช้พื้นที่
