นายรัตนชัย นามวงศ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ว่า หากไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดในพื้นที่ภาคใต้ได้ ก็เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาไฟฟ้าตกและไฟดับตามมาอย่างแน่นอน และค่าไฟฟ้าในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น จนกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6 ต่อปี โดยปีที่ผ่านมาความต้องการใช้สูงสุดอยู่ที่ 2,468 เมกะวัตต์ ขณะที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เพียง 3,059 เมกะวัตต์ จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ให้ได้ภายในปีนี้ และแล้วเสร็จภายในปี 2562 เพื่อเสริมความมั่นคงทางระบบไฟฟ้า เนื่องจากก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักขณะนี้มีปริมาณเหลือพอใช้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น หลังจากนั้น จะนำโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา เข้าสู่ระบบตามมาในปี 2564 ซึ่งหากดำเนินการได้ตามแผนดังกล่าว จะส่งผลดีให้ค่าไฟฟ้าปรับตัวขึ้นในอัตราที่ชะลอลง เพราะต้นทุนเชื้อเพลิงถ่านหินอยู่ที่ 1.33 บาทต่อหน่วย ส่วนก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในปัจจุบัน มีต้นทุนสูงถึง 3.39 บาทต่อหน่วย พร้อมคาดการณ์ ค่าไฟฟ้าท้ายแผนพีดีพี ช่วงปี 2579 ไว้ที่ 5.55 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 3.76 บาทต่อหน่วย
นายรัตนชัย กล่าวอีกว่า จากที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทย มีแนวโน้มเติบโตลดลงจากร้อยละ 4.41 เหลือร้อยละ 3.9 อาจทำให้คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับลดลงมาอยู่ที่ 59,300 เมกะวัตต์ ประกอบกับการดำเนินตามแผนอนุรักษ์พลังงาน หรือ EEDP จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงได้อีกประมาณ 10,000 เมกะวัตต์
นายรัตนชัย กล่าวอีกว่า จากที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของไทย มีแนวโน้มเติบโตลดลงจากร้อยละ 4.41 เหลือร้อยละ 3.9 อาจทำให้คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าปรับลดลงมาอยู่ที่ 59,300 เมกะวัตต์ ประกอบกับการดำเนินตามแผนอนุรักษ์พลังงาน หรือ EEDP จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงได้อีกประมาณ 10,000 เมกะวัตต์