นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการครูและบุคคลากรทางการศึกษา (สกสค.) กล่าวว่า เงินกองทุนช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค.ที่เกิดจากรายได้ของสำนักงาน สกสค. ซึ่งเป็นผลตอบแทนสำนักงานในการดำเนินโครงการเงินกู้ ช.พ.ค. และฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษากรณีคู่สมรส (ช.พ.ส.) ซึ่งกฏหมายสภาครูฯ มาตราที่ 67-68 ได้กำหนดว่า สกสค.สามารถที่จะนำเงินรายได้ของสำนักงานไปแสวงหาผลประโยชน์ หรือลงทุนในกิจการเพื่อหาผลตอบแทน เพื่อนำเงินรายได้มาจัดสวัสดิการและสวัสดิภาพให้แก่ครูได้ ซึ่ง สกสค.ได้นำเงินไปลงทุนในหลายส่วน
ทั้งนี้ การลงทุนก้อนใหญ่มี 3 ส่วนคือ 1 โครงการหารายได้โดยวิธีการฝากเงินกับสถาบันการเงินที่มีความมั่นคง โดยคณะกรรมการ สกสค. (บอร์ด สกสค.) ได้เลือกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่คิดว่ามีความมั่นคง 11 แห่ง วงเงิน 2,500 ล้านบาท ได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ส่วนที่ 2 ฝากไว้กับสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนที่มีความมั่นคง 940 ล้านบาท ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และส่วนที่ 3 คือเงินที่ลงทุนกับบริษัทเอกชนจำนวน 2,100 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนทั้งหมดนี้เป็นไปตามมติของบอร์ด สกสค. ที่คำนึงถึงความเสี่ยงทุกประเด็น จึงกระจายความเสี่ยงจะมีผลตอบแทนที่ไม่เท่ากัน โดยในส่วนที่ลงทุนกับบริษัทเอกชนจะได้ผลตอบทนในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี
ทั้งนี้ การลงทุนก้อนใหญ่มี 3 ส่วนคือ 1 โครงการหารายได้โดยวิธีการฝากเงินกับสถาบันการเงินที่มีความมั่นคง โดยคณะกรรมการ สกสค. (บอร์ด สกสค.) ได้เลือกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูที่คิดว่ามีความมั่นคง 11 แห่ง วงเงิน 2,500 ล้านบาท ได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ส่วนที่ 2 ฝากไว้กับสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนที่มีความมั่นคง 940 ล้านบาท ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และส่วนที่ 3 คือเงินที่ลงทุนกับบริษัทเอกชนจำนวน 2,100 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนทั้งหมดนี้เป็นไปตามมติของบอร์ด สกสค. ที่คำนึงถึงความเสี่ยงทุกประเด็น จึงกระจายความเสี่ยงจะมีผลตอบแทนที่ไม่เท่ากัน โดยในส่วนที่ลงทุนกับบริษัทเอกชนจะได้ผลตอบทนในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี
