ก่อนปิดเวทีสัมมนาเดินหน้าประเทศไทย เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน ได้มีการแสดงจุดยืนของภาคประชาชนในเวทีดังกล่าวว่า ควรมีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่มีช่องโหว่ก่อนที่จะมีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งจะมีผลผูกพันประเทศไทยไปยาวนานถึง 39 ปี โดยเสนอให้แยกการสำรวจและผลิตออกจากกัน ซึ่งจะสามารถทำได้ทันที และรัฐควรจะมีช่องให้มีระบบแบ่งปันผลผลิต หรือระบบจ้างผลิตในระบบปิโตรเลียมของไทยด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย
ขณะที่ตัวแทนฝ่ายประชาชนเห็นว่า หากไม่สามารถหาข้อสรุปจากเวทีนี้ได้รัฐควรทำประชามติจากประชาชนในเรื่องดังกล่าว เพื่อหาทางออกของปัญหา
ทั้งนี้ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ยืนยันว่า การที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแก้ไขประกาศให้ 3 แปลงปิโตรเลียมในทะเลใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตได้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมปี 2514 กำหนดให้ใช้ระบบสัมปทานเท่านั้น
ขณะที่ฝ่ายกระทรวงพลังงาน นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ. แต่ไม่ควรให้มีการแก้ไขจนทำให้กระบวนการสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ต้องล่าช้า เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงด้านพลังงานแก่ประเทศ
ขณะที่ตัวแทนฝ่ายประชาชนเห็นว่า หากไม่สามารถหาข้อสรุปจากเวทีนี้ได้รัฐควรทำประชามติจากประชาชนในเรื่องดังกล่าว เพื่อหาทางออกของปัญหา
ทั้งนี้ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ยืนยันว่า การที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติแก้ไขประกาศให้ 3 แปลงปิโตรเลียมในทะเลใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตได้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมปี 2514 กำหนดให้ใช้ระบบสัมปทานเท่านั้น
ขณะที่ฝ่ายกระทรวงพลังงาน นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ. แต่ไม่ควรให้มีการแก้ไขจนทำให้กระบวนการสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ต้องล่าช้า เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงด้านพลังงานแก่ประเทศ
