นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนคดีกรณีที่มีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้กล่าวหาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงานถลุงเหล็กของ บริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อันเกิดจากกระบวนการผลิตและปัญหาจากการถมพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงงาน ในบริเวณป่าพรุน้ำเค็ม ป่าคลองแม่รำพึง ในท้องที่ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพพื้นที่จริง พบว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพพื้นที่เป็นป่าพรุ ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ
นอกจากนี้ ยังตรวจพบมีการออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบจำนวน 11 แปลง จากเอกสารสิทธิที่ดินจำนวนทั้งหมด 22 แปลง ในที่ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ น.ส. 3 และ น.ส.3 ก.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เอกสารสิทธิ น.ส.3 และ น.ส.3 ก. จำนวน 11 แปลงดังกล่าว รวมเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ เป็นการออกโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้กรมที่ดิน เพื่อพิจารณาดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าว
ส่วนกรณีมีผู้ร้องเรียนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธินั้น ได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วเกินสิบปี และบางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจพิจารณาดำเนินการ
นายสรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาเพิกถอนสิทธิที่ออกโดยมิชอบนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อตกลง หรือทำ MOU ไว้กับกรมที่ดิน ซึ่งจะได้ประสานกรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการตาม MOU ต่อไป รวมทั้งมีมติให้แจ้งประสานงานกรมป่าไม้ และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่รำพึง เพื่อพิจารณาดำเนินการกับที่ดินดังกล่าว และผู้บุกรุกที่ดินของรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
นอกจากนี้ ยังตรวจพบมีการออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบจำนวน 11 แปลง จากเอกสารสิทธิที่ดินจำนวนทั้งหมด 22 แปลง ในที่ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ น.ส. 3 และ น.ส.3 ก.
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า เอกสารสิทธิ น.ส.3 และ น.ส.3 ก. จำนวน 11 แปลงดังกล่าว รวมเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ เป็นการออกโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้กรมที่ดิน เพื่อพิจารณาดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าว
ส่วนกรณีมีผู้ร้องเรียนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธินั้น ได้พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วเกินสิบปี และบางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจพิจารณาดำเนินการ
นายสรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาเพิกถอนสิทธิที่ออกโดยมิชอบนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีข้อตกลง หรือทำ MOU ไว้กับกรมที่ดิน ซึ่งจะได้ประสานกรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการตาม MOU ต่อไป รวมทั้งมีมติให้แจ้งประสานงานกรมป่าไม้ และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่รำพึง เพื่อพิจารณาดำเนินการกับที่ดินดังกล่าว และผู้บุกรุกที่ดินของรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป