ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ในวันพฤหัสบดี(22ม.ค.) ประกาศจะดำเนินมาตรการเข้าซื้อพันบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนมูลค่า 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงภาวะเงินฝืดในพื้นที่ยูโร
อีซีบีเผยว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2016 แม้มีเสียงคัดค้านจากบุนเดสแบงค์ของเยอรมนีและความกังวลต่างๆในเบอร์ลิน กรณีที่มันอาจเปิดทางให้ประเทศต่างๆใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายและหย่อนยานในแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ
มาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีเผยว่าประกอบกับกับมาตรการเข้าซื้อหนี้เอกชนและปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำหลายแสนล้านยูโรแก่ธนาคารกลางต่างๆที่มีอยู่ก่อนแล้ว มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน(QE)ใหม่นี้ จะอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเดือนละ 60,000 ล้านยูโร ซึ่งหากนับจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า ก็จะใช้เงินมากกว่า 1 ล้านล้านยูโร
"เมื่อรวมทั้งการซื้อพันบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนจำนวนจะอยู่ที่ 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน" ดรากิแถลงต่อผู้สื่อข่าว "พวกเขามีความตั้งใจดำเนินการไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2016 หรืออาจดำเนินไปจนกว่าเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเส้นทางของเงินฝืด"
ด้วยความเคลื่อนไหวของอีบีซีจะเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาดรอง นั่นหมายว่าธนาคารกลางยุโรปแห่งนี้จะเข้าซื้อหนี้ของเหล่าชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างเช่นเยอรมนี น้อยกว่าพวกสมาชิกเล็กๆ
ดรากิ บอกว่าร้อยละ 20 ของการเข้าซื้อสินทรัพย์จะต้องกระจายความเสี่ยง บ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่เหล่าธนาคารกลางประเทศต่างๆจะต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอง ทำให้นักวิจารณ์ออกมาตั้งคำถามต่อแนวคิดนี้ เนื่องจากประเทศที่มีหนี้สินสูงอยู่แล้วอาจพบว่าตนเองต้องแบกรับภาระมากขึ้นไปอีก
อีซีบีเผยว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2016 แม้มีเสียงคัดค้านจากบุนเดสแบงค์ของเยอรมนีและความกังวลต่างๆในเบอร์ลิน กรณีที่มันอาจเปิดทางให้ประเทศต่างๆใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายและหย่อนยานในแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ
มาริโอ ดรากิ ประธานอีซีบีเผยว่าประกอบกับกับมาตรการเข้าซื้อหนี้เอกชนและปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำหลายแสนล้านยูโรแก่ธนาคารกลางต่างๆที่มีอยู่ก่อนแล้ว มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน(QE)ใหม่นี้ จะอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเดือนละ 60,000 ล้านยูโร ซึ่งหากนับจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า ก็จะใช้เงินมากกว่า 1 ล้านล้านยูโร
"เมื่อรวมทั้งการซื้อพันบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนจำนวนจะอยู่ที่ 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน" ดรากิแถลงต่อผู้สื่อข่าว "พวกเขามีความตั้งใจดำเนินการไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2016 หรืออาจดำเนินไปจนกว่าเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเส้นทางของเงินฝืด"
ด้วยความเคลื่อนไหวของอีบีซีจะเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาดรอง นั่นหมายว่าธนาคารกลางยุโรปแห่งนี้จะเข้าซื้อหนี้ของเหล่าชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างเช่นเยอรมนี น้อยกว่าพวกสมาชิกเล็กๆ
ดรากิ บอกว่าร้อยละ 20 ของการเข้าซื้อสินทรัพย์จะต้องกระจายความเสี่ยง บ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่เหล่าธนาคารกลางประเทศต่างๆจะต้องแบกรับความเสี่ยงกันเอง ทำให้นักวิจารณ์ออกมาตั้งคำถามต่อแนวคิดนี้ เนื่องจากประเทศที่มีหนี้สินสูงอยู่แล้วอาจพบว่าตนเองต้องแบกรับภาระมากขึ้นไปอีก