นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ในวันนี้ (20 ม.ค.) ว่า เป็นการตั้งเป้าหมายการพัฒนา และการปฏิรูปประเทศให้ชัดเจน ในอีก 20 ปีข้างหน้า ตลอดจนการรองรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และในระดับโลก โดยเป้าหมายการทำงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว จำนวน 6 ข้อ แต่การกำหนดทิศทางเพิ่มเติม เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน เพื่อให้การทำงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปทั้ง 18 คณะ ปรับเข้าสู่ทิศทางเดียวกัน ซึ่งได้มีการจัดประชุมกลุ่มย่อยออกเป็น 8 คณะ เพื่อให้ได้ความเห็นร่วมกันและสรุปความเห็นทั้งหมดในวันนี้
ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ยังกล่าวถึงกรณีสมาชิก สปช.บางส่วนเห็นว่า การร่างวิสัยทัศน์อนาคตประเทศ ไม่มีความสอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูป 18 คณะ และเป็นการเริ่มต้นศึกษาการทำงานใหม่ ว่า ไม่ใช่การเริ่มต้นศึกษาใหม่ แต่เป็นการปรับทิศทางและนำมาสรุปผล โดยภายหลังการสรุปผล เป็นหน้าที่ของแต่ละคณะกรรมาธิการต้องมาพิจารณาว่าอะไรเป็นประเด็นที่ต้องปฏิรูป และนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) ในวันพุธที่ 21 มกราคมนี้ เพื่อบรรจุเป็นวาระการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 26 มกราคม
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินการร่างวิสัยทัศน์ประเทศไทย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ได้มีความล่าช้าตามหลังการร่างรัฐธรรมนูญ และคงไม่มีการเพิ่มเติมจำนวนคณะกรรมาธิการฯ แต่เป็นการหาทางออกในประเด็นการปฏิรูปบางประเด็น ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันหลายคณะกรรมาธิการฯ โดยหาเจ้าภาพที่ชัดเจน หรือ บูรณาการร่วมกันมากกว่า
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินภาพรวมการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ถือว่าอยู่ในขั้นดีมาก ส่วนจะมีการเปิดเวทีเสวนาครั้งที่ 3 หรือไม่ ยังไม่มีการกำหนด เพราะ สปช.ยังมีเป้าหมายการทำงานที่ต้องเสร็จก่อนเดือนเมษายนนี้ หรือก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญตลอดทั้งเดือนเมษายน ดังนั้น ในช่วงเวลาสองเดือนเศษหลังจากนี้
พร้อมกันนี้ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ สปช.ต้องไม่ก้าวล่วงการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเรื่องคดีการถอดถอน
ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ยังกล่าวถึงกรณีสมาชิก สปช.บางส่วนเห็นว่า การร่างวิสัยทัศน์อนาคตประเทศ ไม่มีความสอดคล้องกับการทำงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูป 18 คณะ และเป็นการเริ่มต้นศึกษาการทำงานใหม่ ว่า ไม่ใช่การเริ่มต้นศึกษาใหม่ แต่เป็นการปรับทิศทางและนำมาสรุปผล โดยภายหลังการสรุปผล เป็นหน้าที่ของแต่ละคณะกรรมาธิการต้องมาพิจารณาว่าอะไรเป็นประเด็นที่ต้องปฏิรูป และนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) ในวันพุธที่ 21 มกราคมนี้ เพื่อบรรจุเป็นวาระการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 26 มกราคม
ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินการร่างวิสัยทัศน์ประเทศไทย เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ไม่ได้มีความล่าช้าตามหลังการร่างรัฐธรรมนูญ และคงไม่มีการเพิ่มเติมจำนวนคณะกรรมาธิการฯ แต่เป็นการหาทางออกในประเด็นการปฏิรูปบางประเด็น ที่มีความเกี่ยวเนื่องกันหลายคณะกรรมาธิการฯ โดยหาเจ้าภาพที่ชัดเจน หรือ บูรณาการร่วมกันมากกว่า
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินภาพรวมการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ประเทศไทย ครั้งที่ 2 ถือว่าอยู่ในขั้นดีมาก ส่วนจะมีการเปิดเวทีเสวนาครั้งที่ 3 หรือไม่ ยังไม่มีการกำหนด เพราะ สปช.ยังมีเป้าหมายการทำงานที่ต้องเสร็จก่อนเดือนเมษายนนี้ หรือก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญตลอดทั้งเดือนเมษายน ดังนั้น ในช่วงเวลาสองเดือนเศษหลังจากนี้
พร้อมกันนี้ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ สปช.ต้องไม่ก้าวล่วงการทำงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเรื่องคดีการถอดถอน
