พายุ “ฮากูปิ๊ต” อำลาฟิลิปปินส์แล้วในวันอังคาร (9ธ.ค.) หลังทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 คนและบ้านเรือนริมชายฝั่งได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม ทางการมะนิลาได้รับคำชมกึกก้องจากการเตรียมพร้อมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งช่วยรักษาชีวิตประชาชนจำนวนมาก
ฮากูปิ๊ตขึ้นฝั่งที่เกาะซามาร์ บริเวณภาคกลางของแดนตากาล็อก เมื่อวันเสาร์ (6) ด้วยความเร็วลม 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงที่สุดซึ่งเข้าสู่ฟิลิปปินส์ในปีนี้ และทำให้เกิดความกังวลว่า จะสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานความเสียหายขนาดใหญ่ หรือการเสียชีวิตอย่างมากมาย โดยที่ใน บาตันกัส จังหวัดใหญ่จังหวัดสุดท้ายที่ฮากูปิ๊ตเคลื่อนผ่านเมื่อคืนวันจันทร์ (8) ก็ไม่มีรายงานว่าทำให้คนตายเลย
ตามรายงานสรุปของสภากาชาดฟิลิปปินส์ในวันอังคาร (9) มีผู้เสียชีวิตจากพายุลูกนี้ 27 คน ส่วนใหญ่อยู่ในซามาร์ หนึ่งในเกาะที่ยากจนที่สุดของแดนตากาล็อก โดยบ้านเรือนหลายพันหลังในชุมชนชาวประมงซึ่งหันหน้าเข้าหามหาสมุทรแปซิฟิก ถูกแรงพายุพัดพังทลาย
มานูเอล ร็อกแซส รัฐมนตรีมหาดไทยเชื่อว่า มีประชาชน 200,000 คนในจังหวัดอีสเทิร์นซามาร์ ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นหลังจากมีการประเมินสถานการณ์ของชุมชนที่ถูกตัดขาดอย่างครอบคลุมถี่ถ้วนยิ่งขึ้น
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครั้งนี้มีการสูญเสียน้อยลงไปมาก คือ ฮากูปิ๊ตก่อตัวเคลื่อนเข้าสู่ฟิลิปปินส์ ในเวลาที่ภูมิอากาศแถบนี้เข้าสู่ฤดูหนาว มวลอากาศเย็นอันมหาศาลจากตอนเหนือของเอเชียเคลื่อนลงมาทางใต้ ทำให้ฮากูปิ๊ตอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วขณะเคลื่อนผ่านตอนกลางของฟิลิปปินส์ โดยขณะที่ถึงมะนิลาเมื่อคืนวันจันทร์ ฮากูปิ๊ตลดระดับเป็นเพียงพายุโซนร้อนและไม่ได้ทำให้มีฝนตกหนักอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
และตอนที่ออกจากฟิลิปปินส์มุ่งหน้าสู่ทะเลจีนใต้ช่วงเช้าวันอังคาร ฮากูปิ๊ตลดระดับเป็นเพียงดีเปรสชันโซนร้อนด้วยความเร็วลมเพียง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
กระนั้น ประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ยังคงเป็นผู้บุกเบิกสิ่งที่สหประชาชาติระบุว่า เป็นความพยายามอพยพผู้คนในช่วงเวลาสันติครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น
จากตัวเลขของทางการ ประชาชนเกือบ 1.7 ล้านคนอพยพไปยังศูนย์หลบภัย ก่อนที่ฮากูปิ๊ตจะเคลื่อนผ่าน
ฮากูปิ๊ตขึ้นฝั่งที่เกาะซามาร์ บริเวณภาคกลางของแดนตากาล็อก เมื่อวันเสาร์ (6) ด้วยความเร็วลม 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นพายุไต้ฝุ่นที่มีกำลังแรงที่สุดซึ่งเข้าสู่ฟิลิปปินส์ในปีนี้ และทำให้เกิดความกังวลว่า จะสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานความเสียหายขนาดใหญ่ หรือการเสียชีวิตอย่างมากมาย โดยที่ใน บาตันกัส จังหวัดใหญ่จังหวัดสุดท้ายที่ฮากูปิ๊ตเคลื่อนผ่านเมื่อคืนวันจันทร์ (8) ก็ไม่มีรายงานว่าทำให้คนตายเลย
ตามรายงานสรุปของสภากาชาดฟิลิปปินส์ในวันอังคาร (9) มีผู้เสียชีวิตจากพายุลูกนี้ 27 คน ส่วนใหญ่อยู่ในซามาร์ หนึ่งในเกาะที่ยากจนที่สุดของแดนตากาล็อก โดยบ้านเรือนหลายพันหลังในชุมชนชาวประมงซึ่งหันหน้าเข้าหามหาสมุทรแปซิฟิก ถูกแรงพายุพัดพังทลาย
มานูเอล ร็อกแซส รัฐมนตรีมหาดไทยเชื่อว่า มีประชาชน 200,000 คนในจังหวัดอีสเทิร์นซามาร์ ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างไรก็ดี ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นหลังจากมีการประเมินสถานการณ์ของชุมชนที่ถูกตัดขาดอย่างครอบคลุมถี่ถ้วนยิ่งขึ้น
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครั้งนี้มีการสูญเสียน้อยลงไปมาก คือ ฮากูปิ๊ตก่อตัวเคลื่อนเข้าสู่ฟิลิปปินส์ ในเวลาที่ภูมิอากาศแถบนี้เข้าสู่ฤดูหนาว มวลอากาศเย็นอันมหาศาลจากตอนเหนือของเอเชียเคลื่อนลงมาทางใต้ ทำให้ฮากูปิ๊ตอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วขณะเคลื่อนผ่านตอนกลางของฟิลิปปินส์ โดยขณะที่ถึงมะนิลาเมื่อคืนวันจันทร์ ฮากูปิ๊ตลดระดับเป็นเพียงพายุโซนร้อนและไม่ได้ทำให้มีฝนตกหนักอย่างที่คาดไว้ก่อนหน้านี้
และตอนที่ออกจากฟิลิปปินส์มุ่งหน้าสู่ทะเลจีนใต้ช่วงเช้าวันอังคาร ฮากูปิ๊ตลดระดับเป็นเพียงดีเปรสชันโซนร้อนด้วยความเร็วลมเพียง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
กระนั้น ประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ยังคงเป็นผู้บุกเบิกสิ่งที่สหประชาชาติระบุว่า เป็นความพยายามอพยพผู้คนในช่วงเวลาสันติครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น
จากตัวเลขของทางการ ประชาชนเกือบ 1.7 ล้านคนอพยพไปยังศูนย์หลบภัย ก่อนที่ฮากูปิ๊ตจะเคลื่อนผ่าน