ศาสตราจารย์ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ครบรอบปีที่ 72 วันที่ 27 พฤศจิกายนนี้ ว่า ตนเองและบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขทุกคน มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทดูแลสุภาพอนามัยของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขที่เข้าถึง เป็นธรรม มีคุณภาพและเจริญรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการเร่งรัดเรื่องที่มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และจะเห็นผลเป็นรูปธรรมหลายอย่าง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องประชาชน คือ 1. ทุกครัวเรือนในเขตชนบทจะได้รับการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยทีมแพทย์ครอบครัวในพื้นที่ 2. คืนการมองเห็นให้ผู้ป่วยตาบอดจากต้อกระจก โดยการผ่าตัด เริ่มนำร่องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3. การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องนอนอยู่กับเตียงอย่างเหมาะสม เริ่มดำเนินการใน 20 จังหวัดนำร่อง ภายในเดือนธันวาคมนี้ ก่อนขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
4. ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส 8,400 ราย จะได้รับการใส่รากฟันเทียมและผู้สูงอายุ 35,000 ราย จะได้รับฟันเทียม 5. คนไทยในวัย 20–50 ปี ในพื้นที่เสี่ยง จะได้รับการปกป้องจากโรคคอตีบ–บาดทะยักด้วยการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม เนื่องจากโรคเหล่านี้มีแนวโน้มระบาดซ้ำ 6. ตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ในโรงพยาบาลสังกัดกรม โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งเพื่อให้การดูแลประคับประคองผู้ป่วย ให้บรรเทาทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยในระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานที่ตนเอง และบุคลากรสาธารณสุขตั้งใจทำโดยยึดถือประโยชน์สุข ที่จะเกิดกับประชาชนทุกคน ด้วยความเสมอภาคและยั่งยืน เสมือนพี่น้องทุกคน เป็นคนในครอบครัว ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการเร่งรัดเรื่องที่มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และจะเห็นผลเป็นรูปธรรมหลายอย่าง เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่พี่น้องประชาชน คือ 1. ทุกครัวเรือนในเขตชนบทจะได้รับการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยทีมแพทย์ครอบครัวในพื้นที่ 2. คืนการมองเห็นให้ผู้ป่วยตาบอดจากต้อกระจก โดยการผ่าตัด เริ่มนำร่องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3. การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องนอนอยู่กับเตียงอย่างเหมาะสม เริ่มดำเนินการใน 20 จังหวัดนำร่อง ภายในเดือนธันวาคมนี้ ก่อนขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
4. ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส 8,400 ราย จะได้รับการใส่รากฟันเทียมและผู้สูงอายุ 35,000 ราย จะได้รับฟันเทียม 5. คนไทยในวัย 20–50 ปี ในพื้นที่เสี่ยง จะได้รับการปกป้องจากโรคคอตีบ–บาดทะยักด้วยการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม เนื่องจากโรคเหล่านี้มีแนวโน้มระบาดซ้ำ 6. ตั้งหน่วยบรรเทาทุกข์ผู้ป่วยระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิต ในโรงพยาบาลสังกัดกรม โรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่งเพื่อให้การดูแลประคับประคองผู้ป่วย ให้บรรเทาทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยในระยะสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานที่ตนเอง และบุคลากรสาธารณสุขตั้งใจทำโดยยึดถือประโยชน์สุข ที่จะเกิดกับประชาชนทุกคน ด้วยความเสมอภาคและยั่งยืน เสมือนพี่น้องทุกคน เป็นคนในครอบครัว ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
