นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยถึงยอดการตั้งโรงงานใหม่ในเดือนกันยายน 2557 ว่า มีจำนวน 536 โรงงาน เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.67 ขณะที่มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 32,514 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.57 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นผลจากการที่กรมโรงงานอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการออกใบอนุญาตประกอบ กิจการโรงงาน หรือ รง.4 จาก 90 วัน เป็น 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รวมถึงผู้ประกอบการเริ่มมีความเข้าใจในกระบวนการออกใบ รง.4 มากขึ้น เนื่องจากกรมโรงงานฯ ได้เข้าไปพบและให้คำปรึกษาเรื่องกระบวนการต่างๆ ในการขออนุญาตแก่อุตสาหกรรมจังหวัด และผู้ประกอบการในจังหวัดที่มีโรงงานเปิดกิจการใหม่ ประกอบกับการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังมีรัฐบาล และมีคณะรัฐมนตรีมาขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยอุตสาหกรรมที่มีจำนวนเปิดกิจการมากที่สุดในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ คือ อุตสาหกรรมผลิตอโลหะ
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ยอดการเปิดกิจการใหม่ในปีนี้จะเติบโตกว่าร้อยละ 5 ซึ่งหากรวมการออกใบ รง.4 ให้กับโรงไฟฟ้าที่กรมโรงงานส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ เรกูเลเตอร์ พิจารณาต่ออีกจำนวน 94 โรงงาน มูลค่าการลงทุนกว่า 40,000 ล้าน จะส่งผลให้ยอดเปิดโรงงานเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 โดยได้ประสานงานกับเรกูเลเตอร์จัดตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างข้อตกลงการทำงานร่วมกัน หรือ เอ็มโอยู เพื่อให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ มีความสะดวกในจุดเดียว เบ็ดเสร็จ และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ส่วนภาพรวมในปี 2558 หากสถานการณ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงเป็นปกติ ประกอบกับการดำเนินงานเชิงรุกของกรมโรงงานที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2557 และเป็นไปตามเป้าหมายโรงงานเปิดกิจการใหม่ที่ 5,000-6,000 โรงต่อปี โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ยังคงให้ความสำคัญกับไทยในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งไทยมีโครงการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 ทำให้มั่นใจว่ามูลค่าการลงทุนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10–20
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ยอดการเปิดกิจการใหม่ในปีนี้จะเติบโตกว่าร้อยละ 5 ซึ่งหากรวมการออกใบ รง.4 ให้กับโรงไฟฟ้าที่กรมโรงงานส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ เรกูเลเตอร์ พิจารณาต่ออีกจำนวน 94 โรงงาน มูลค่าการลงทุนกว่า 40,000 ล้าน จะส่งผลให้ยอดเปิดโรงงานเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 โดยได้ประสานงานกับเรกูเลเตอร์จัดตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างข้อตกลงการทำงานร่วมกัน หรือ เอ็มโอยู เพื่อให้เกิดการทำงานแบบบูรณาการ มีความสะดวกในจุดเดียว เบ็ดเสร็จ และโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ส่วนภาพรวมในปี 2558 หากสถานการณ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงเป็นปกติ ประกอบกับการดำเนินงานเชิงรุกของกรมโรงงานที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2557 และเป็นไปตามเป้าหมายโรงงานเปิดกิจการใหม่ที่ 5,000-6,000 โรงต่อปี โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ยังคงให้ความสำคัญกับไทยในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ รวมทั้งไทยมีโครงการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 ทำให้มั่นใจว่ามูลค่าการลงทุนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10–20
